Sunday, September 4, 2016

เล่มที่ 2 บทที่ 3 GOD our FIRST LOVE

 
THE ROD of IRON
คฑาเหล็ก
Chapter 2
 
GOD our FIRST LOVE
พระเจ้าความรักแรกของเรา

Revelation 2:4 NEVERTHELESS I HAVE SOMEWHAT AGAINST THEE, BECAUSE THOU HAST LEFT THY FIRST LOVE.

วิวรณ์ 2:4 แต่เรามีข้อที่จะต่อว่าเจ้าบ้าง คือว่าเจ้าละทิ้งความรักดั้งเดิมของเจ้า

This Scripture cited from the Book of Revelation is the WORDS of JESUS CHRIST given to the Apostle John, WARNING the CHURCH in Eph’-e-sus against their practice of putting JESUS before GOD, and serving HIM rather than GOD! If YOU READ Chapter 2, verses 1 through 5 of the Book of Revelation, you will SEE the MESSAGE is CLEAR. JESUS says in the Scriptures; the CHURCH in Eph' -e-sus, appeared to be doing everything right as had taught them, EXCEPT they were SERVING HIM rather than serving their FIRST LOVE, GOD! JESUS further WARNS; if they do not REPENT from doing so, HE was going to DISENFRANCHISE them from being: CHURCH!

พระธรรมข้อนี้เป็นข้อพระคัมภีร์จากพระวจนะของพระเยซูคริสต์ที่ได้แก่อัครฑูตยอห์น เตือนไปถึงคริสตจักรเอเฟซัสถึงพฤติกรรมของพวกเขาที่ให้ความสำคัญของพระเยซูมากกว่าพระเจ้า และรับใช้พระองค์แทนที่จะรับใช้พระเจ้า หากคุณอ่านบทที่ 2 ข้อ 1-5 ของพระธรรมวิวรณ์จะเห็นว่าถ้อยคำของพระองค์นั้นชัดเจน พระเยซูได้กล่าวว่าคริสตจักรเอเฟซัสนั้นดูเหมือนจะทำหลายสิ่งถูกต้องตามคำสอนของพระองค์ยกเว้นเรื่องที่ว่าพวกเขารับใช้พระเยซูมากกว่าที่จะรับใช้พระเจ้าผู้ซึ่งเป็นความรักดั้งเดิมของพวกเขา พระเยซูได้เตือนต่อไปอีกว่าหากพวกเขาไม่กลับใจใหม่จากสิ่งที่ทำอยู่ พระองค์จะถอดพวกเขาออกจากการเป็นคริสตจักร

In the PREVIOUS BOOK there was a Chapter dedicated to explaining who is GOD, titled: "WHO is GOD?" In that Chapter WE explained the DESCENDING FORM of GOD: by what the Apostles called the GODHEAD, and the more recent CHURCH refers to as THE TRINITY. It was told to you at that time, although GOD portrays HIMSELF as BEING THREE PERSONS; there is only ONE GOD. The following WORDS spoken by JESUS will CONFIRM THIS:

ก่อนหน้านี้มีบทหนึ่งที่อธิบายถึงพระเจ้าโดยเฉพาะ ชื่อบทว่าใครคือพระเจ้า?” ในบทนั้นได้อธิบายถึงรูปแบบลำดับชั้นของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ซึ่งบรรดาอัครฑูตเรียกว่า GODHEAD แต่คริสตจักรยุคหลังๆจะพูดถึงโดยใช้คำว่า THE TRINITY (ตรีเอกานุภาพ) ตามที่ทราบกันดีว่าพระเจ้าสำแดงพระองค์เองเป็น 3 บุคคลด้วยกัน แต่เป็นพระเจ้าองค์เดียว ซึ่งพระวจนะของพระเยซูในพระธรรมด้านล่างนี้เป็นการยืนยันในเรื่องนี้

Mark 12:29 And JESUS answered him, THE FIRST OF ALL COMMANDMENTS IS, HEAR O ISRAEL; THE LORD OUR GOD IS ONE LORD:

มาระโก 12:29 พระเยซูจึงตรัสตอบคนนั้นว่า "พระบัญญัติซึ่งเป็นเอกเป็นใหญ่กว่าบัญญัติทั้งปวงนั้นคือว่า `โอ คนอิสราเอล จงฟังเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเราทั้งหลายเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว

 

Mark 12:30 AND THOU SHALT LOVE THE LORD THY GOD WITH ALL THY HEART, AND WITH ALL THY SOUL, AND WITH ALL THY MIND, AND WITH ALL THY STRENGTH: THIS IS THE FIRST COMMANDMENT.

 

มาระโก 12:30 และพวกท่านจงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน ด้วยสุดจิตสุดใจของท่าน ด้วยสิ้นสุดความคิด และด้วยสิ้นสุดกำลังของท่าน' นี่เป็นพระบัญญัติที่เป็นเอกเป็นใหญ่

NOTE: JESUS CHRIST is the DESCENDED FORM of YESHUA (the 3rd DESCENDANT of GOD); whereas THE DELIVERER, THE 182 PERSON, is the DESCENDED FORM of IXOTE, THE HOLY SPIRIT (the 2nd DESCENDANT of GOD).

หมายเหตุ: พระเยซูคริสต์เป็นลำดับชั้นถัดลงมาจาก YESHUA (ซึ่งเป็นลำดับชั้นที่ 3 ของพระเจ้า) ขณะที่ THE DELIVERER, 182 PERSON เป็นลำดับชั้นถัดลงมาจาก IXOTE, พระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นลำดับชั้นที่ 2 ของพระเจ้า

JESUS CHRIST/YESHUA, sees HIS FATHER/IXOTE, who is THE HOLY SPIRIT of GOD, as being GOD; whereas THE HOLY SPIRIT of GOD SEES HIS FATHER, THE ALMIGHTY, WHO IS GOD, AS GOD. I know this must be a bit confusing to you, however this is the ASCENDING FORM of GOD. One must look at GOD as being the SOURCE of ALL LIFE. When GOD DESCENDS into IXOTE (THE HOLY SPIRIT) ONE-THIRD of HIM REMAINS as GOD, thus making IXOTE BEING TWO-THIRDS that of GOD and THIS IS THE FIRST DESCENDING FORM of GOD.

พระเยซูคริสต์/YESHUA มองพระบิดาของพระองค์/IXOTE ผู้ซึ่งเป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าว่าเป็นพระเจ้า ขณะที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า มองพระบิดาของพระองค์คือพระผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าว่าเป็นพระเจ้า ผมรู้ว่ามันค่อนข้างจะงงสำหรับคุณแต่อย่างไรก็ตาม นี่รูปแบบลำดับชั้นของพระเจ้า เราต้องมองพระเจ้าว่าพระองค์เป็นแหล่งแห่งชีวิต และเมื่อพระเจ้าสืบแบ่งลำดับชั้นลงมาเป็น IXOTE (THE HOLY SPIRIT) หนึ่งในสามของพระองค์ยังคงเป็นพระเจ้าอยู่ ดังนั้น IXOTE จึงมีส่วนเป็น สองในสามของพระเจ้า ซึ่งถือว่าเป็นการแบ่งลำดับชั้นลงมาครั้งแรกของพระเจ้า

When GOD FURTHER DESCENDS INTO YESHUA (The THIRD PERSON of the GODHEAD), HE LEAVES ONE-THIRD OF HIMSELF AS IXOTE, thus making YESHUA ONE-THIRD that of GOD. WHEN GOD FURTHER DESCENDS THROUGH YESHUA, HE again SUBDIVIDES ONE-THIRD OF HIMSELF BY FOUR, AND DESCENDS INTO THE FOUR SERAPHIM, with the SERAPHIM being CALLED "CHRIST" and being one-twelfth that of GOD. The DIVISION of GOD outside of the GODHEAD (TRINITY) however, is not an EQUAL DIVISION, but LINEARLY DIVIDES starting with THE DELIVERER.

เมื่อพระเจ้าแบ่งลำดับชั้นลงมาอีกเป็น YESHUA (บุคคลที่ 3 แห่ง GODHEAD) พระองค์ยังคงให้ 1 ใน 3 ของพระองค์เป็น IXOTE เหมือนเดิม ดังนั้น YESHUA จึงเป็น 1 ใน 3 ของพระเจ้า และเมื่อพระเจ้าแบ่งลำดับชั้นต่อไปผ่านทาง YESHUA พระองค์ก็ได้แบ่ง 1 ใน 3 ของพระองค์ออกเป็น 4 บุคคล ซึ่งก็คือ เสราฟิมทั้ง 4 และเสราฟิมทั้ง 4 นี้รวมกันเรียกว่าพระคริสต์CHRIST” และกลายเป็น 1 ใน 12 ส่วนของพระเจ้า การแบ่งลำดับชั้นลงมาของ GODHEAD (TRINITY) นั้นไม่ใช่การแบ่งทีเดียวเป็นส่วนที่เท่าๆกันพร้อมกัน แต่เป็นการแบ่งลงไปเป็นลำดับขั้นซึ่งเริ่มต้นจาก THE DELIVERER

NOTE: WE will come back to this TOPIC later and explain this phenomenon in greater detail, further on in this BOOK.

หมายเหตุ: เราจะกลับมาพูดถึงและอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างละเอียดกันอีกครั้งภายหลัง

This DIVISION into TWELFTHS explains why there are TWELVE TRIBES making up ISRAEL, for this REPRESENTS CHRIST. The FOUR SERAPHIM are CHRIST, therefore making each of them REPRESENT ONE-TWELFTH THAT OF GOD. This is also why there were TWELVE Disciples, with each DISCIPLE RECEIVING the ANOINTING of ONE-TWELFTH that of CHRIST. ALL DESCENDANTS of GOD below the LEVEL of the SERAPHIM ARE A DIVISION of TWELVE.

การแบ่งออกเป็น 12 ส่วนนี้เป็นเหตุผลหนึ่งที่ว่าทำไมอิสราเอลจึงต้องมี 12 เผ่า ก็เพราะว่าตัวเลขนี้เป็นตัวแทนถึงพระคริสต์ เสราฟิมทั้งสี่คือพระคริสต์ดังนั้นอิสราเอลแต่ละเผ่าจึงเปรียบเสมือน 1/12 ส่วนของพระเจ้า และนี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่มีสาวก 12 คน เพราะสาวกแต่ละคนก็ได้รับการเจิมจากพระคริสต์เป็น 1/12 ของพระคริสต์เช่นกัน ลำดับชั้นของพระเจ้าที่แสดงด้านล่างนี้เป็นลำดับขั้นของเสราฟิมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ 12 ส่วนของพระเจ้า

In HEAVEN, THE ALMIGHTY GOD only reveals HIMSELF to HIS SON, IXOTE; and IXOTE ONLY REVEALS HIMSELF TO HIS SON, YESHUA; WHO ONLY REVEALS HIMSELF TO HIS SON, CHRIST; and this is the DESCENDING ORDER of GOD. The DESCENDING of YESHUA into CHRIST is only done through YESHUA'S THIRD SON, the THIRD SERAPHIM, WHOSE NAME IS JESUS; THIS IS THE SERAPHIM HAVING THE FACE OF A MAN.

ในสวรรค์ พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพจะทรงสำแดงพระองค์กับพระบุตรของพระองค์เท่านั้นซึ่งก็คือ IXOTE และ IXOTE ก็สำแดงพระองค์กับพระบุตรของพระเองค์เท่านั้นเช่นกันซึ่งก็คือ YESHUA ซึ่งก็จะสำแดงพระองค์กับพระบุตรของพระองค์ซึ่งก็คือพระคริสต์เท่านั้นเช่นกัน และนี่เองคือลำดับเชื้อสายของพระเจ้า การสืบเชื้อสายของ YESHUA ไปถึงพระคริสต์จะทำผ่านบุตรคนที่ 3 ของ YESHUA ผู้ซึ่งพระนามของพระองค์คือพระเยซูผู้ซึ่งเป็นเสราฟิมที่มีพระพักตร์ของมนุษย์นั่นเอง

The aforementioned PROCESS REPRESENTS the DESCENDING FORM of GOD. This explains why JESUS CHRIST is man's ONLY ACCESS TO GOD, for only through JESUS can ANYONE ASCEND to GOD. Even THE HOLY SPIRIT MUST ASCEND through JESUS CHRIST, the THIRD of the FOUR SONS of GOD.

สิ่งที่กล่าวถึงมาทั้งหมดก่อนหน้านี้นั้นคือ รูปแบบการสืบเชื้อสายของพระเจ้า ซึ่งเป็นคำตอบว่าทำไมพระเยซูคริสต์จึงเป็นทางเดียวที่มนุษย์จะไปสู่พระเจ้าได้ เพราะว่าพระเยซูเป็นทางเดียวที่จะขึ้นไปสู่พระเจ้า แม้กระทั่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จำต้องผ่านพระเยซูคริสต์ผู้ซึ่งเป็นบุตรคนที่ 3 จาก 4 ของพระบิดา

NOTE: The NUMBERING of the SONS of GOD REPRESENTS the ORDER in which they HAVE APPEARED on EARTH. The ORDER of their HIERARCHY in HEAVEN is REVERSED, thus making the FOURTH SERAPHIM, the FIRST DESCENDANT OUTSIDE of the GODHEAD (TRINITY) WE will further expand on this TOPIC later on in the BOOK.

 

หมายเหตุ: จำนวนของบุตรของพระเจ้านั้นหมายถึงลำดับที่พวกเขาจะปรากฎตัวบนโลก เป็นลำดับที่นับถอยหลังจากบนสวรรค์ ดังนั้นเสราฟิมองค์ที่ 4 จึงเป็นผู้ที่สืบเชื้อสายจาก GODHEAD (TRINITY) คนแรก ซึ่งเราจะพูดถึงเรื่องนี้ในภายหลัง

Revelation 4:7 And the first beast was like a LION, and the second beast like a CALF, and the THIRD BEAST had a face as a MAN, and the FOURTH BEAST was like a FLYING EAGLE.

วิวรณ์ 4:7 สัตว์ตัวที่หนึ่งนั้นเหมือนสิงโต สัตว์ตัวที่สองนั้นเหมือนลูกโค สัตว์ตัวที่สามนั้นมีหน้าเหมือนมนุษย์ และสัตว์ตัวที่สี่เหมือนนกอินทรีกำลังบิน

NOTE: The THIRD BEAST is the THIRD SERAPHIM, JESUS CHRIST. The reason HE is DESCRIBED in the Scripture as having the FACE of a MAN is because it is HE who MAN must ASCEND or DESCEND through.

หมายเหตุ: สัตว์ที่สามคือเสราฟิมองค์ที่ 3 ซึ่งก็คือพระเยซูคริสต์ เหตุผลที่พระองค์ถูกกล่าวถึงในพระคัมภีร์ว่ามีหน้าเหมือนมนุษย์นั้นก็เพราะว่านั่นคือพระองค์เองผู้ซึ่งมนุษย์จะต้องผ่านเข้าไปหรือออกมาผ่านทางพระองค์

Ezekiel 44:1 Then HE brought me back the way of the GATE of the outward SANCTUARY which looketh toward the EAST; and it was shut.

เอเสเคียล 44:1 แล้วท่านก็นำข้าพเจ้ากลับมาตามทางของประตูของสถานบริสุทธิ์ห้องนอก ซึ่งหันหน้าไปทางตะวันออก และประตูนั้นปิดอยู่

Ezekiel 44:2 Then said THE LORD unto me; THIS GATE SHALL BE SHUT, IT SHALL NOT BE OPENED, AND NO MAN SHALL. ENTER IN BY IT; BECAUSE THE LORD, THE GOD OF ISRAEL, HATH ENTERED IN BY IT, THEREFORE IT SHALL BE SHUT

เอเสเคียล 44:2 พระเยโฮวาห์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า "ประตูนี้จะปิดอยู่เรื่อยไป อย่าให้เปิดและไม่ให้ใครเข้าไปทางนี้ เพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลได้เสด็จเข้าไปทางนี้ เพราะฉะนั้นจึงให้ปิดไว้

JUST as the sun rises from the EAST and sets in the WEST, so is it with GOD. One can only ASCEND to HIM through the EAST GATE, JESUS CHRIST, who is also referred to as the "MORNING STAR". EACH OF THE FOUR SONS of GOD (the FOUR SERAPHIM) represents a GATE. The 1st SERAPHIM, DAVID; represents the NORTH GATE, the 2nd SERAPHIM SOLOMON; represents the SOUTH GATE, the 3rd SERAPHIM, JESUS; represents the EAST GATE, and the 4th SERAPHIM, THE DELIVERER; represents the WEST GATE. Only through the EAST GATE can ONE ENTER IN or EXIT the SANCTUARY of GOD (HEAVEN).

ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกและตกทางทิศตะวันตกฉันท์ใด พระเจ้าก็เช่นกัน ผู้ที่จะเข้าถึงพระองค์ได้จะต้องเข้าผ่านทางประตูด้านตะวันออก ซึ่งพระเยซูคริสต์เองก็เคยถูกกล่าวถึงว่าเป็นดาวประกายพฤกษ์หรือ “Morning Star” เช่นกัน บุตรของพระเจ้าทั้ง 4 องค์ (เสราฟิมทั้ง 4) เป็นตัวแทนของประตูทั้ง 4 ทิศ เสราฟิมองค์ที่ 1 DAVID เป็นตัวแทนของประตูทิศเหนือ เสราฟิมองค์ที่ 2 SALOMON เป็นตัวแทนของประตูทิศใต้ เสราฟิมองค์ที่ 3 JESUS เป็นตัวแทนประตูทิศตะวันออก และ เสราฟิมองค์ที่ 4 THE DELIVERER คือตัวแทนประตูทิศตะวันตก ซึ่งมนุษย์สามารถผ่านเข้าออกอาณาจักรของพระเจ้า (สวรรค์) ได้ทางประตูทิศตะวันออกเท่านั้น

When GOD DESCENDS as the SAVIOR (JESUS), HE DESCENDS only as YESHUA and into the THIRD SERAPHIM, JESUS CHRIST, and GOD has already done this. HOWEVER, when GOD DESCENDS as the DELIVERER, BOTH IXOTE and YESHUA DESCEND THROUGH JESUS CHRIST AND ENTER INTO THE FOURTH SERAPHIM, WHO IS SYMBOLIZED AS BEING THE FLYING EAGLE AND ALSO AS THE WEST GATE. This EVENT has not happened yet; and this is why only the WEST WALL still STANDS this day in JERUSALEM; for it will remain standing until after the COMING of THE DELIVERER.

เมื่อพระเจ้าแบ่งลำดับชั้นลงมาเป็นพระผู้ช่วย (พระเยซู) พระองค์ลงมาผ่านทาง YESHUA เท่านั้นและผ่านเสราฟิมที่ 3 พระเยซูคริสต์และพระเจ้าได้ทำสิ่งเหล่านี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ทีนี้มื่อพระเจ้าจะแบ่งลำดับชั้นลงมาเป็น DELIVERER ทั้ง IXOTE และ YESHUA จะแบ่งลำดับชั้นลงมาผ่านทางพระเยซูคริสต์และเข้าสู่การเป็นเสราฟิมที่ 4 ผู้ซึ่งมีสัญลักษณ์เป็นดั่งนกอินทรีย์ที่บินอยู่และยังเป็นประตูสวรรค์ทิศตะวันตกด้วย เหตุการณ์นี้ยังไม่เกิดขึ้นและนี่เองจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมประตูทางด้านทิศตะวันตกในนครเยรูซาเล็มจึงยังคงเหลืออยู่ ก็เนื่องจากมันรอคอยการเสด็จมาของ THE DELIVERER นั่นเอง

NOTE 1: To help you to UNDERSTAND the DESCENDING FORM of GOD, WE will express this phenomenon in a visualized form. If you could VISUALIZE GOD as being a LIGHT SOURCE, such as the sun, and JESUS CHRIST as being the LIGHT emitted from the sun, you can see why JESUS had said HE is the LIGHT of the world. Furthermore, when one RECEIVES the LIGHT coming from the sun, they then feel the HEAT being generated by the LIGHT. This is the RECEIVING of THE HOLY SPIRIT (the heat) by way of the LIGHT. So in either the case of the LIGHT, or the HEAT from the LIGHT, neither of them could exist without the SOURCE of the LIGHT, GOD, The WORD "LIGHT" when used in the Scriptures, means; LIFE, TRUTH, and SERENITY (PEACE).

NOTE 1: เพื่อช่วยให้คุณเข้าใจเกี่ยวกับรูปแบบของการแบ่งลำดับชั้นของพระเจ้า ผมจะยกตัวอย่างปรากฎการณ์นี้ให้ชัดเจนขึ้น หากคุณมองพระเจ้าว่าเป็นเสมือนต้นกำเนิดแสงเช่นดวงอาทิตย์ และพระเยซูก็เหมือนแสงที่ดวงอาทิตย์ปล่อยออกมา ดังที่พระองค์มักพูดว่าพระองค์เป็นแสงแห่งโลกนี้ นอกจากนี้ เมื่อเราถูกแสงแดดจากดวงอาทิตย์ เราจะสัมผัสถึงความร้อนที่เกิดขึ้นจากแสงนั้น ซึ่งสิ่งนี้หมายถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ (ความร้อนที่มาจากแสงแดด) แต่ไม่ว่าจะเป็นความสว่างหรือความร้อนจากแสงแดด ทั้งสองจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นเลยหากปราศจากดวงอาทิตย์ซึ่งเป็นต้นกำเนิดความสว่าง ซึ่งก็คือ พระเจ้า สำหรับคำว่า “LIGHT” เมื่อนำมาใช้ในบริบทของพระคำภีร์จะมีความหมายถึง ชีวิต, ความจริง, และสันติสุข

John 1:6 There was a man sent from GOD, whose name was John.

ยอห์น 1:6 มีชายคนหนึ่งที่พระเจ้าทรงใช้มา ชื่อยอห์น

John 1:7 The same came for a WITNESS, to bear WITNESS of the LIGHT, that all men through HIM might BELIEVE.

ยอห์น 1:7 ท่านผู้นี้มาเพื่อเป็นพยาน เพื่อเป็นพยานถึงความสว่างนั้น เพื่อคนทั้งปวงจะได้มีความเชื่อเพราะท่าน

The STAR of DAVID

ดวงดาวของดาวิด

Although somewhat unrelated to this Chapter's main topic, WE would like to share with you the relationship of the "Star of David" and its DIVINE SYMBOLIC significance to the HEAVENLY REALM:

หัวข้อย่อยนี้อาจจะไม่เกี่ยวข้องกับชื่อบทสักเท่าไหร่ แต่ผมอยากจะแบ่งปันให้คุณได้ทราบถึงความสำพันธ์ของดวงดาวของดาวิดและความหมายเชิงสัญลักษณ์ของมันที่มีต่ออาณาจักรสวรรค์

As explained in the PREVIOUS BOOK, each of the FOUR SERAPHIM represents a KING in HEAVEN, with each KING REIGNING over ONE of the FOUR KINGDOMS (CHRIST) making up the KINGDOM of GOD. The NORTH KINGDOM is that of DAVID'S and the SOUTH KINGDOM that of SOLOMON'S. In HEAVEN, each KINGDOM is in the shape of a PYRAMID, and when the FOUR PYRAMIDS come together at their tips they form a CUBE, called HEAVEN, or NEW JERUSALEM.

ตามที่ได้อธิบายไว้ก่อนหน้านี้ว่า เสราฟิมทั้ง 4 คือกษัตริย์บนสวรรค์ ซึ่งกษัตริย์แต่ละองค์นั้นครอบครองอาณาจักรคนละ 1 ใน 4 ซึ่งรวมกันเป็นอาณาจักรของพระเจ้า อาณาจักรทิศเหนือเป็นของดาวิด และอาณาจักรทางใต้นั้นเป็นของโซโลมอน แต่ละอาณาจักรนั้นมีรูปร่างคล้ายปิระมิด และเมื่อปิระมิดทั้งสี่มาบรรจบรวมกันโดยนำยอดปิระมิดมาชนกันแล้วก็จะกลายเป็นเหมือนสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ ซึ่งเรียกว่า สวรรค์ หรือ นครเยรูซาเล็มใหม่

The PYRAMID pointing towards the NORTH symbolizes the KINGDOM of the NORTH, whereas the PYRAMID pointing towards the SOUTH symbolizes the KINGDOM of the SOUTH. If one could visualize the KINGDOM of the SOUTH coming through the KINGDOM of the NORTH (because on earth, SOLOMON came through DAVID), they would then pictorially see the "Star of David".

ปิระมิดที่ชี้ไปทางทิศเหนือนั้นหมายถึงอาณาจักร์ทิศเหนือ ขณะที่ปิระมิดที่ชี้ไปทางทิศใต้จะหมายถึงอาณาจักรทิศใต้ ทีนี้เห็นภาพใหมว่าอาณาจักรแห่งทิศใต้นั้นเกิดขึ้นมาจากอาณาจักรของทิศเหนือ (เนื่องจากบนโลกมนุษย์นี้ซาโลมอนก็มาเกิดผ่านทางดาวิด) เขาก็จะมองเห็นดวงดาวของดาวิด

To further clarify this, when the PYRAMIDS of the NORTH and SOUTH KINGDOMS are shown pictorially, (as being drawn on paper), the two pyramids will appear as two 60 degree equal lateral triangles, with their bases opposite each other and their tips pointing one towards the other, Then by sliding the triangle pointing SOUTH, through the triangle pointing NORTH (because SOLOMON came through DAVID), the two KINGDOMS would the form the "Star of David".

เพื่อให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น เมื่อปิระมิดของอาณาจักรทิศเหนือและใต้ถูกวาดเป็นภาพออกมา ปิระมิดทั้ง 2 นั้นออกมาเหมือนกับสามเหลี่ยมที่มีมุม 60 องศาเท่ากัน โดยมีฐานอยู่ด้านตรงข้ามของกันและกันแต่ด้านปลายของปิระมิดจะหันเข้าหากัน ทำให้เหมือนว่าปลายปิระมิดด้านทิศเหนือกำลังชี้ไปยังปิระมิดด้านทิศใต้ และเนื่องจากซาโลมอนเกิดมาจากดาวิด อาณาจักรทั้ง 2 นี้จึงก่อให้เห็นรูปแบบของดวงดาวแห่งดาวิด

GOD and MAN'S INTIMATE RELATIONSHIP

สัมพันธภาพใกล้ชิดระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์

GOD expects YOUR RELATIONSHIP with HIM to be an individual ONE. Although we may WORSHIP THE LORD as a GROUP, when the GROUP disburses, GOD does not remain at the gathering place but rather leaves with each PERSON INDIVIDUALLY. This is why JESUS CHRIST referred to HIS BODY as being the TEMPLE of GOD; for HE knew GOD was in HIM. This is a PERSON'S ONENESS with GOD called, “IMMANUEL".

พระเจ้าคาดหวังให้ความสัมพันธ์ของคุณกับพระองค์เป็นแบบหนึ่งต่อหนึ่ง แม้ว่าเราอาจรวมกลุ่มกันนมัสการพระเจ้า เมื่อเลิกกลุ่มพระเจ้าไม่ได้สถิตอยู่ที่สถานที่ที่เรารวมตัวกัน แต่พระองค์สถิตอยู่กับพวกเราแต่ละคน นี่เองจึงเป็นเหตุว่าทำไมพระเยซูจึงพูดว่าร่างกายของพระองค์นั้นเป็นพระวิหารของพระเจ้า เนื่องจากพระองค์รู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับพระองค์ นี่คือการเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าหรือที่เรียกว่า “IMMANUEL”

John 17:22 AND THE GLORY WHICH THOU GAVEST ME I HAVE GIVEN THEM; THAT THEY MAY BE ONE, EVEN AS WE ARE ONE: 

John 17:23 I IN THEM, AND THOU IN ME, THAT THEY MAY BE MADE PERFECT IN ONE; AND THAT THE WORLD MAY KNOW THAT THOU HAST SENT ME, AND HAST LOVED THEM, AS THOU HAST LOVED ME. 

John 17:24 FATHER, I WILL THAT THEY ALSO, WHOM THOU HAST GIVEN ME, BE WITH ME WHERE I AM; THAT THEY MAY BEHOLD MY GLORY, WHICH THOU HAST GIVEN ME: FOR THOU LOVEST ME BEFORE THE FOUNDATION OF THE WORLD. 

John 17:25 O RIGHTEOUS FATHER, THE WORLD HATH NOT KNOWN THEE: BUT I HAVE KNOWN THEE, AND THESE HAVE KNOWN THAT THOU HAST SENT ME. 

John 17:26 AND I HAVE DECLARED UNTO THEM THY NAME, AND WILL DECLARE IT: THAT THE LOVE WHEREWITH THOU HAST LOVED ME MAY BE IN THEM, AND I IN THEM. 

ยอห์น 17:22 เกียรติซึ่งพระองค์ได้ประทานแก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์ได้มอบให้แก่เขา เพื่อเขาจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังที่พระองค์กับข้าพระองค์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนั้น

17:23 ข้าพระองค์อยู่ในเขา และพระองค์ทรงอยู่ในข้าพระองค์ เพื่อเขาทั้งหลายจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์ และเพื่อโลกจะได้รู้ว่าพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา และพระองค์ทรงรักเขาเหมือนดังที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์

17:24 พระบิดาเจ้าข้า ข้าพระองค์ปรารถนาให้คนเหล่านั้นที่พระองค์ได้ประทานให้แก่ข้าพระองค์ อยู่กับข้าพระองค์ในที่ซึ่งข้าพระองค์อยู่นั้นด้วย เพื่อเขาจะได้เห็นสง่าราศีของข้าพระองค์ซึ่งพระองค์ได้ประทานแก่ข้าพระองค์ เพราะพระองค์ทรงรักข้าพระองค์ก่อนที่จะทรงสร้างโลก

17:25 โอ ข้าแต่พระบิดาผู้ชอบธรรม โลกนี้ไม่รู้จักพระองค์ แต่ข้าพระองค์รู้จักพระองค์ และคนเหล่านี้รู้ว่าพระองค์ได้ทรงใช้ข้าพระองค์มา

17:26 ข้าพระองค์ได้ประกาศให้เขารู้จักพระนามของพระองค์ และจะประกาศให้เขารู้อีก เพื่อความรักที่พระองค์ได้ทรงรักข้าพระองค์จะดำรงอยู่ในเขา และข้าพระองค์จะอยู่ในเขา

The last five Scriptures taken from the GOSPEL of John, represent the CONCLUSION of JESUS CHRIST'S FINAL PRAYER and the FULFILLMENT of HIS MISSION here on earth. The Scripture says, that through HIM, ALL BELIEVING HIM TO BE THE SON of GOD, CAN BE AS ONE WITH GOD, AS HE IS AS ONE IN GOD. Let US breakdown the SCRIPTURES for you and REVEAL THE MESSAGE IN THEM. 

ข้อพระคัมภีร์ 5 ข้อนี้มาจากพระธรรมยอห์น พูดถึงคำอธิษฐานสุดท้ายของพระเยซูและทำพันธกิจของพระองค์ที่สำเร็จบนโลกนี้ พระธรรมตอนนี้ได้บอกว่าโดยพระองค์ ทุกคนที่เชื่อว่าพระองค์เป็นบุตรของพระเจ้าก็จะสามารถเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าได้เหมือนกับที่พระองค์เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า เรามาศึกษาแต่ละข้ออย่างละเอียดเพื่อเปิดเผยถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ในข้อพระคัมภีร์ตอนนี้กัน

In the first cited Scripture, John 17:22 (and also the two prior Scriptures 17:20 & 17:21 not cited), JESUS is requesting that GOD EMPOWER HIS DISCIPLES (by HOLY SPIRIT BAPTISM) so they might RECEIVE HIS ANOINTING and CARRY FORWARD the WORD of GOD throughout the world. And, they did this by their WRITING the FOUR GOSPELS. The  GLORY GIVEN to JESUS (mentioned in the Scripture), represents HIS RECEIPT of HOLY SPIRIT BAPTISM, WHICH JESUS will continue to PASS ALONG TO ANYONE BELIEVING IN HIM, PROVIDING THE FATHER HAS DIRECTED THEM to HIM.

ในข้อแรก ยอห์น 17:22 (รวมไปถึงข้อ 20-21 ที่ไม่ได้กล่าวถึง) พระเยซูได้ขอพระเจ้าประทานกำลังแต่สาวกของพระองค์ (โดยการบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์) เพื่อที่พวกเขาจะได้รับการเจิมและสามารถสั่งสอนพระวจนะของพระเจ้าไปยังโลกนี้ได้ และพวกเขาก็ได้ทำสิ่งนั้นแล้วผ่านทางการเขียนพระกิตติคุณทั้ง 4 เล่ม ซึ่งเป็นการประกาศกิตติคุณแด่พระเยซู (กล่าวถึงไว้ในพระธรรม) สิ่งนี้เป็นตัวบ่งบอกถึงการได้รับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งพระเยซูคริสต์จะดำเนินส่งต่อไปให้แก่บรรดาผู้ที่เชื่อในพระองค์ต่อไป คือจัดเตรียมในสิ่งที่พระบิดาได้สั่งให้พระองค์ทำ

NOTE: The CHURCH teaches that anyone at anytime of their own choosing can be SAVED, and this is one of the GREATEST DISCREPANCIES being taught by the CHURCH today. ONLY GOD can CHOOSE who will be SAVED or who should be DAMNED, for this is GOD'S CHOICE AND NOT MAN'S SAITH THE LORD! 

หมายเหตุ: คริสตจักรสอนว่าใครก็ตามที่เลือกที่จะเชื่อจะได้รับความรอด สิ่งนี้เป็นความเข้าใจผิดมหันต์ที่คริสตจักรทุกวันนี้สอนกัน แท้จริงเพียงพระเจ้าผู้เดียวที่เป็นผู้เลือกว่าใครที่จะได้รับความรอดหรือใครที่จะต้องถูกแช่งสาป เพราะนี่เป็นการตัดสินใจของพระเจ้าไม่ใช่มนุษย์ พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ

John 6:44 NO MAN CAN COME TO ME, EXCEPT THE FATHER WHICH HATH SENT ME DRAW HIM: AND I WILL RAISE HIM UP AT THE LAST DAY. 

John 6:65 And HE said, THEREFORE SAID I UNTO YOU, THAT NO MAN CAN COME UNTO ME, EXCEPT IT WERE GIVEN UNTO HIM OF MY FATHER. 

ยอห์น 6:64 แต่ในพวกท่านมีบางคนที่ไม่เชื่อ" เพราะพระเยซูทรงทราบแต่แรกว่าผู้ใดไม่เชื่อ และเป็นผู้ใดที่จะทรยศพระองค์

6:65 และพระองค์ตรัสว่า "เหตุฉะนั้นเราจึงได้บอกท่านทั้งหลายว่า `ไม่มีผู้ใดจะมาถึงเราได้ นอกจากพระบิดาของเราจะทรงโปรดประทานให้ผู้นั้น

ONCE those being sent to JESUS by GOD RECEIVE their HOLY SPIRIT BAPTISM, they will then be as ONE with GOD as JESUS CHRIST is as ONE IN GOD. This represents the INDIVIDUAL RELATIONSHIP ONE WILL HAVE WITH GOD (IMMANUEL), through HOLY SPIRIT BAPTISM, GIVEN TO THEM BY JESUS CHRIST, THE SON of GOD. This is the PROMISE of the FATHER, a FATHER and SON RELATIONSHIP with the SAVED.

เมื่อคนเหล่านั้นที่พระเจ้านำให้อยู่กับพระเยซูได้รับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ พวกเขาก็เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าเช่นเดียวกับที่พระเยซูคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ สิ่งนี้แสดงถึงความสัมพันธ์ส่วนตัวที่แต่ละคนจะมีกับพระเจ้า (อิมมานูเอล) ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่มอบไว้ให้ผ่านทางพระเยซูคริสต์บุตรของพระเจ้า นี่เป็นพระสัญญาของพระบิดา เป็นความสัมพันธ์ระหว่างพระบิดากับพระบุตรที่มีต่อผู้ที่รอด

In John 17:23 and 17:24, JESUS STATES in the Scripture: ALL who RECEIVE SPIRITUAL BAPTISM and REBIRTH in CHRIST, will ENJOY a PERFECT LOVING RELATIONSHIP with GOD and with HIM, and WILL be with JESUS in HEAVEN and see the LAMB of GOD RECEIVE HIS GLORIFICATION BY GOD.

ในยอห์น 17:23 และ 17:24, พระเยซูกล่าวในข้อพระคัมภีร์ว่า ทุกคนที่ได้รับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ และเกิดใหม่ในพระคริสต์ จะมีสันติสุขอยู่ในความสัมพันธ์แห่งรักที่เต็มเปี่ยมกับพระเจ้าและพระองค์เอง และจะได้อยู่กับพระเยซูในสวรรค์และเห็นแกะของพระเจ้าได้รับเกียรติจากพระเจ้า

Revelation 5:11 And I beheld, and heard a voice of many Angels round about THE THRONE and the BEASTS and the Elders: and the number of them was ten thousand times ten thousand, and thousands of thousands. 

Revelation 5:12 Saying with a LOUD VOICE, WORTHY IS THE LAMB that was SLAIN to RECEIVE POWER, and RICHES, and WISDOM, and STRENGTH, and HONOUR, and GLORY, and BLESSING 

วิวรณ์ 5:11 แล้วข้าพเจ้าก็มองดู และข้าพเจ้าได้ยินเสียงทูตสวรรค์เป็นอันมากนับเป็นโกฏิๆเป็นแสนๆ ซึ่งอยู่ล้อมรอบพระที่นั่งรอบสัตว์และผู้อาวุโสทั้งหลายนั้น

5:12 ร้องเสียงดังว่า "พระเมษโปดกผู้ทรงถูกปลงพระชนม์แล้วนั้น เป็นผู้ที่สมควรได้รับฤทธิ์เดช ทรัพย์สมบัติ ปัญญา อานุภาพ เกียรติ สง่าราศี และคำสดุดี"

JESUS also says in the Scripture (John 17:24), HIS RELATIONSHIP with GOD was before the CREATION of the world, and JESUS states this because HE PROVIDED the LIGHT for the WORLD to EXIST and the LIGHT for ALL of GOD'S CREATION. The FIRST WORDS SPOKEN BY GOD WAS; LET THERE BE LIGHT; and JESUS CHRIST IS THAT LIGHT. 

พระเยซูยังได้กล่าวไว้ในพระคัมภีร์ (ยอห์น 17:24) ว่าความสัมพันธ์ของพระองค์กับพระเจ้านั้นมีมาก่อนที่จะสร้างโลก และพระเยซูได้กล่าวประโยคนี้เพราะพระองค์เป็นผู้จัดเตรียมแสงสว่างที่อยู่ในโลกนี้ทั้งหมด และแสงสว่างสำหรับทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง คำแรกที่พระเจ้าตรัสก็คือให้ที่นั่นมีความสว่างและพระเยซูก็คือความสว่างนั้นนั่นเอง

Revelation 3:14 AND UNTO THE ANGEL OF THE CHURCH OF THE LA-OD-I-CE'-ANS WRITE; THESE THINGS SAITH THE A-MEN', THE FAITHFUL AND TRUE WITNESS, THE BEGINNING OF THE CREATION OF GOD;

วิวรณ์ 3:14 จงเขียนถึงทูตสวรรค์แห่งคริสตจักรที่เมืองเลาดีเซีย ว่า `พระองค์ผู้ทรงเป็นพระเอเมน ทรงเป็นพยานที่สัตย์ซื่อและสัตย์จริง และทรงเป็นปฐมเหตุแห่งสิ่งสารพัดซึ่งพระเจ้าทรงสร้าง ได้ตรัสดังนี้ว่า

The next two Scriptures John 17:25 and 17:26 state, that it wasn't until after JESUS had been crucified and RESURRECTED that those being SAVED by HIS BLOOD could have a PERSONAL RELATIONSHIP with GOD, for before that time, NO ONE could be SAVED! However, from that point forward in time; ANYONE BELIEVING JESUS CHRIST CAME OUT FROM GOD (GOD in the DESCENDING FORM), could RECEIVE HOLY SPIRIT BAPTISM, a LOVING RELATIONSHIP WITH GOD, and ETERNITY. IF GOD SO WILLED it to BE.

ข้อพระคัมภีร์ถัดไป 2 ข้อ ยอห์น 17:25 และ 17:26 กล่าวว่า คนเหล่านั้นที่ได้รับความรอดผ่านทางพระโลหิตของพระเยซูจะไม่สามารถมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระเจ้าได้จนกว่าพระเยซูจะถูกตรึงบนไม้กางเขนและฟื้นคืนพระชนม์แล้วเท่านั้น เพราะก่อนหน้านั้นจะยังไม่มีใครที่ได้รับความรอด ดังนั้นก่อนจะถึงเวลานั้นหากใครก็ตามที่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์มาจากพระเจ้า (เชื้อสายของพระเจ้า) จะได้รับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ ความสัมพันธ์แห่งรักกับพระเจ้าซึ่งมั่นคงตลอดนิรันดร์ตราบที่พระเจ้าปรารถนาจะให้เป็น

The underlying MESSAGE in these SCRIPTURES is that the HOLY SPIRIT BAPTISM that ONE RECEIVES, is GIVEN TO THEM BY JESUS CHRIST; and no one other than HE can OFFER this BAPTISM.

ความหมายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังพระคัมภีร์ข้อนี้ก็คือ การบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่เราได้รับกันนั้น เราได้รับผ่านทางพระเยซูคริสต์ และไม่มีใครนอกเหนือจากพระองค์สามารถให้บัพติสมานี้แทนได้

As previously discussed, JESUS CHRIST never performed any water baptism. As a matter of fact, JESUS never performed baptism of any type while on the earth. It wasn't UNTIL AFTER HIS RESURRECTION that HE COULD FULFILL THE PROPHECY GIVEN BY JOHN the BAPTIST, and the PROMISE of THE FATHER, BAPTIZING WITH THE HOLY SPIRIT of GOD.

อย่างที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า พระเยซูคริสต์ไม่เคยรับบัพติสมาในน้ำ แท้จริงพระเยซูไม่เคยรับบัพติสมาในรูปแบบใดๆทั้งสิ้นเลยขณะที่พระองค์อยู่บนโลกนี้ จนกระทั่งหลังจากที่พระองค์ฟื้นจากความตาย ตอนนั้นเองที่พระองค์ได้ทำให้คำพยากรณ์ที่ให้โดยยอห์นผู้ให้บัพติสมาและพระสัญญาของพระบิดาเป็นจริง ก็คือการบัพติสมาโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า

John 1:33 And I knew HIM not: but HE that sent me to baptize with water, the SAME said unto me, Upon whom thou shalt see THE SPIRIT DESCENDING, and remaining on HIM, the same is HE which BAPTIZETH with THE HOLY GHOST. 

ยอห์น 1:33 ข้าพเจ้าเองไม่รู้จักพระองค์ แต่พระองค์ ผู้ได้ทรงใช้ให้ข้าพเจ้าให้บัพติศมาด้วยน้ำ พระองค์นั้นได้ตรัสกับข้าพเจ้าว่า เมื่อเจ้าเห็นพระวิญญาณเสด็จลงมาและสถิตอยู่บนผู้ใด ผู้นั้นแหละเป็นผู้ให้บัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์

This brings us now back to the main topic of discussion for this Chapter, called "GOD, our FIRST LOVE". Throughout the GOSPELS, JESUS CHRIST sets the PERFECT EXAMPLE of MAN'S RELATIONSHIP with GOD. JESUS never says even once in the GOSPELS to WORSHIP HIM, but rather taught ALL FOLLOWING HIM to WORSHIP ONLY GOD and to BELIEVE HE had come out from GOD.

กลับมายังเรื่องที่เราพูดถึงค้างกันอยู่คือชื่อบทพระเจ้าผู้เป็นรักแรกตลอดพระกิตติคุณ พระเยซูคริสต์ได้ให้แบบอย่างที่สมบูรณ์ระหว่างความสัมพันธ์ของมนุษย์กับพระเจ้าไว้แล้ว ตลอดพระกิตติคุณพระเยซูไม่เคยเลยสักครั้งที่จะสอนสาวกให้นมัสการพระองค์เอง แต่ได้สอนบรรดาผู้ติดตามพระองค์ให้นมัสการพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียวและให้เชื่อว่าพระองค์นั้นได้มาจากพระเจ้า

Although GOD HIMSELF is not OFFENDED by them choosing to WORSHIP JESUS rather than HIM, JESUS CHRIST FORBIDS IT! This is why JESUS, in the opening Scripture in this Chapter taken from the Book of Revelation, WARNS the CHURCH against WORSHIPPING HIM rather than GOD.

แม้ว่าพระเจ้าจะไม่ได้ขุ่นเคืองในเรื่องที่คนเหล่านั้นจะนมัสการพระเยซูมากกว่าพระองค์ แต่พระเยซูก็ห้ามเรื่องนี้ นี่จึงเป็นเหตุที่พระเยซูเริ่มต้นข้อความในพระธรรมวิวรณ์ เพื่อเตือนคริสตจักรที่นมัสการพระองค์มากกว่าพระเจ้า

Through the twisted and false teaching by the Church, many have been taught to WORSHIP JESUS rather than GOD, however JESUS NEVER TAUGHT THIS! This is why JESUS SAID: HEAR, O ISRAEL; THE LORD OUR GOD IS ONE LORD: (Mark 12:29). IF JESUS CHRIST HAD PROCLAIMED HIMSELF TO BE GOD, HE WOULD HAVE RATHER SAID," THE LORD YOUR GOD IS ONE LORD", rather than saying both HE and YOU WORSHIP the SAME GOD. JESUS CHRIST is THE SON of GOD, and you are NOT to WORSHIP the SON, but rather THE FATHER. 

ด้วยคำบิดเบือนและคำสอนผิดของคริสตจักรที่ให้ผู้เชื่อนมัสการพระเยซูมากกว่าพระเจ้า แต่กลับกันพระเยซูเองไม่เคยเลยที่จะสอนแบบนี้ นี่จึงเป็นเหตุที่ทำไมพระเยซูจึงตรัสว่า จงฟังเถิด, โอ คนอิสราเอล; องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเราทั้งหลายเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว: (มาระโก 12:29)” หากพระเยซูอ้างว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าเสียเอง พระองค์คงจะใช้คำว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกท่านทั้งหลายเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวไปแล้ว พระองค์กลับตรัสว่าทั้งพระองค์และพวกท่านต่างนมัสการพระเจ้าองค์เดียวกัน พระเยซูคริสต์เป็นบุตรของพระเจ้าและคุณจะต้องไม่นมัสการพระบุตรแต่ต้องเป็นพระบิดาต่างหาก

JESUS was sent to earth THE FIRST TIME, to be the PERFECT EXAMPLE of MAN, and not to be YOUR GOD. However, as explained in the PREVIOUS BOOK, during the MILLENNIUM, JESUS CHRIST will be YOUR KING, and YOUR GOD, for at that TIME GOD will REVEAL HIMSELF THROUGH JESUS CHRIST, and that will be the TIME of JESUS' GLORIFICATION. After JESUS' GLORIFICATION, YOU CAN THEN REFER TO HIM AS GOD and NOT BEFORE, SAITH THE LORD.

พระเยซูถูกส่งลงมาบนโลกครั้งแรกเพื่อเป็นแบบอย่างให้แก่มนุษย์ไม่ใช่มาเป็นพระเจ้าของมนุษย์ อย่างไรก็ดี ตามที่เคยได้อธิบายไปในเล่มก่อนนี้ว่าระหว่างยุคพันปี พระเยซูคริสต์จะเป็นกษัตริย์ของท่านและพระเจ้าของท่าน นั่นก็เพราะว่าณ.เวลานั้นพระเจ้าได้สำแดงพระองค์ผ่านพระเยซูคริสต์นั่นเอง และนั่นถึงจะเป็นเวลาแห่งการสรรเสริญพระเยซู ซึ่งหลังจากช่วงเวลานั้นเท่านั้นที่คุณจะสามารถเรียกพระเยซูว่าเป็นพระเจ้าได้ พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ

JESUS CHRIST IS THE SON of GOD and not GOD. When the Pharisees proclaimed CHRIST to be the son of DAVID, rather than the SON of GOD, JESUS made reference to the 110th Psalm. HE TOLD those who believed DAVID to be the father of CHRIST,  that DAVID in the Scripture refers to CHRIST as being his Lord, and if DAVID were the FATHER of CHRIST; he surely would not refer to HIM as Lord.

พระเยซูคริสต์เป็นบุตรของพระเจ้าไม่ใช่พระเจ้า เมื่อฟาริสีได้ประกาศว่าพระคริสต์เป็นบุตรของดาวิดไม่ใช่บุตรของพระเจ้า พระเยซูก็ได้กล่าวอ้างถึงข้อพระคัมภีร์ สดุดี 110 พระองค์บอกบรรดาผู้ที่เชื่อว่าดาวิดจะเป็นบิดาของพระคริสต์ว่า ในพระคัมภีร์ดาวิดได้กล่าวถึงพระคริสต์ในฐานะว่าพระองค์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของเขา และหากดาวิดเป็นบิดาของพระคริสต์จริง เขาจะไม่กล่าวถึงพระองค์ว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างแน่นอน

Psalm 110:1 THE LORD said unto my Lord, Sit thou at MY RIGHT HAND, until I make thine enemies thy footstool. 

สดุดี 110:1 พระเยโฮวาห์ตรัสกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าว่า "จงนั่งที่ขวามือของเรา จนกว่าเราจะกระทำให้ศัตรูของเจ้าเป็นแท่นรองเท้าของเจ้า

The Psalm also indicates at what time JESUS takes possession of THE THRONE (HIS GLORIFICATION). The Scripture says it occurs after HIS enemies have been brought before HIM to KNEEL in HIS PRESENCE (thus making them HIS footstool), and that OCCURS at the BEGINNING of the MILLENNIUM. JESUS also SAID, YOU could not SERVE TWO MASTERS, because while you were SERVING the ONE, you would HATE the OTHER and if you were serving HIM now, you could not SERVE both HE and GOD.

พระธรรมสดุดีได้ระบุถึงเวลาที่พระเยซูจะครอบครองบัลลังก์ (การได้รับเกียรติของพระองค์) พระคัมภีร์กล่าวว่ามันจะเกิดขึ้นหลังจากที่ศัตรูของพระองค์ถูกนำมาคุกเข่าต่อหน้าพระองค์ (ดังที่กล่าวว่าเป็นที่รองพระบาท) ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเริ่มต้นของยุคพันปี พระเยซูยังได้กล่าวว่า เราไม่สามารถเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนายได้เพราะขณะที่คุณกำลังรับใช้นายคนหนึ่งอยู่คุณก็จะเกลียดนายอีกคนหนึ่ง ดังนั้นหากคุณกำลังรับใช้พระเยซูในขณะนี้คุณก็จะไม่สามารถรับใช้ทั้งพระองค์และพระเจ้าได้

Matthew 6:24 NO MAN CAN SERVE two MASTERS: FOR EITHER HE WILL HATE THE ONE, AND LOVE THE OTHER; OR ELSE HE WILL HOLD TO THE ONE, AND DESPISE THE OTHER. YE CANNOT SERVE GOD AND MAMMON.

มัทธิว 6:24 ไม่มีผู้ใดปรนนิบัตินายสองนายได้ เพราะเขาจะชังนายข้างหนึ่งและจะรักนายอีกข้างหนึ่ง หรือเขาจะนับถือนายฝ่ายหนึ่งและจะดูหมิ่นนายอีกฝ่ายหนึ่ง ท่านจะปรนนิบัติพระเจ้าและเงินทองพร้อมกันไม่ได้

The MAMMON referred to in the Scriptures is CARNAL LIFE, however it also applies to SERVING more than ONE GOD. During the period when HEAVEN comes to earth(the MILLENNIUM), GOD will come in the FORM of a MAN. That MAN will be JESUS CHRIST, and HE WILL REIGN ON EARTH FOR ONE THOUSAND YEARS, and DURING THAT PERIOD OF TIME, JESUS WILL BE GOD on EARTH HOWEVER, IN HEAVEN, JESUS CHRIST IS ONE OF FOUR REIGNING KINGS; AND THERE IT IS THE HOLY SPIRIT WHO WILL BE SERVED AND BE YOUR GOD FOR ONLY HE CAN BE CALLED GOD IN HEAVEN!

เงินทองที่กล่าวถึงในพระคัมภีร์นั้นหมายถึงชีวิตในทางโลก แต่อย่างไรก็ดีมันสามารถตีความหมายถึงการรับใช้พระเจ้ามากกว่าหนึ่งได้ ระหว่างระยะเวลาที่สวรรค์เคลื่อนมาสู่โลก (ยุคพันปี) พระเจ้าจะเสด็จมาในร่างของมนุษย์ ซึ่งมนุษย์ผู้นั้นก็คือพระเยซูคริสต์และพระองค์จะครองอาณาจักรเป็นเวลาพันปีบนโลก และในระหว่างระยะเวลานั้นพระเยซูจะเป็นพระเจ้าของโลกนี้ แต่ในสวรรค์พระเยซูคริสต์จะเป็น 1 ใน 4 ของกษัตริย์ผู้ครอง และพระวิญญาณบริสุทธิ์คือผู้ที่จะได้รับการปรนนิบัติและเป็นพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์

Revelation 20:4 And I saw Thrones, and they sat upon them, and JUDGMENT was given unto THEM: and I saw the SOULS of them that were beheaded for the witness of JESUS, and for the WORD of GOD, and which had not worshipped the beast, neither his image, neither had received his Mark upon their foreheads, or in their hands; and they lived and REIGNED with CHRIST a THOUSAND YEARS. 

วิวรณ์ 20:4 ข้าพเจ้าได้เห็นบัลลังก์หลายบัลลังก์ และผู้ที่นั่งบนบัลลังก์นั้น ทรงมอบให้เป็นผู้ที่จะพิพากษา และข้าพเจ้ายังได้เห็นดวงวิญญาณของคนทั้งปวงที่ถูกตัดศีรษะ เพราะเป็นพยานของพระเยซู และเพราะพระวจนะของพระเจ้า และเป็นผู้ที่ไม่ได้บูชาสัตว์ร้ายนั้นหรือรูปของมัน และไม่ได้รับเครื่องหมายของมันไว้ที่หน้าผากหรือที่มือของเขา คนเหล่านั้นกลับมีชีวิตขึ้นมาใหม่ และได้ครอบครองร่วมกับพระคริสต์เป็นเวลาพันปี

Throughout time man has been insistent on SERVING another man rather than GOD. This is why GOD DESCENDS down in a SINGULAR FORM into the THIRD SERAPHIM, JESUS CHRIST while on EARTH. During the time when there is HEAVEN on EARTH in the MILLENNIUM, CHRIST WILL BE GOD, however, in HEAVEN, THE HOLY SPIRIT WILL BE GOD FOR ONLY THE HOLY SPIRIT CAN SERVE GOD! A’-MEN.

ตลอดเวลาที่ผ่านมามนุษย์มักจะปรนนิบัติมนุษย์มากกว่าพระเจ้า นี่เองจึงเป็นเหตุที่ว่าทำไมพระเจ้าจึงมาปรากฎพระองค์ในรูปแบบเดียวขณะที่อยู่บนโลกผ่านทางเสราฟิมที่ 3 ซึ่งก็คือพระเยซูคริสต์ ระหว่างช่วงเวลาที่สวรรค์มาอยู่บนโลกในยุคพันปี พระคริสต์จะเป็นพระเจ้า แต่อย่างไรก็ตามในสวรรค์พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นพระเจ้าเพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะปรนนิบัติพระเจ้าได้ เอเมน  

Man's RELATIONSHIP with GOD can only come by way of THE HOLY SPIRIT, and ONE can only RECEIVE THE HOLY SPIRIT by JESUS CHRIST BAPTIZING them in THE HOLY SPIRIT. HOWEVER, JESUS CHRIST will only PERFORM BAPTISMS on THEM WHO WORSHIP ONLY GOD, FOR GOD IS YOUR FIRST LOVE!

ความสัมพันธ์ของมนุษย์กับพระเจ้าจะเกิดขึ้นผ่านพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น และมนุษย์จะรับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ผ่านทางพระเยซูคริสต์เป็นผู้ให้บัพติสมาเท่านั้น อย่างไรก็ตามพระเยซูคริสต์จะให้บัพติสมาแก่ผู้ที่นมัสการพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น เพราะพระเจ้าทรงเป็นรักแรกของคุณ

NOTE 2 THE LORD has asked ME to clear up some CONFUSION in regard to the differences between LOVE and WORSHIP. Although LOVE is the STRONGEST form of WORSHIP, there is a difference between the TWO. YOU can most certainly LOVE, CHERISH, and ADORE another such as JESUS CHRIST, a SPOUSE, BROTHER or SISTER, and FRIENDS, without WORSHIPPING them. While LOVE is a METHOD of WORSHIP, it in itself is not WORSHIP. WORSHIP in the BIBLICAL SENSE is the GLORIFICATION of GOD without DIVISION in it, which is different than LOVE, which can be SHARED with others. This is to say; a PERSON can LOVE many OTHERS while THEY still WORSHIP ONLY GOD. One can WORSHIP GOD out of LOVE, or ONE can WORSHIP GOD out of FEAR, whereas ONE cannot be made to LOVE out of FEAR. This is the difference between LOVE and WORSHIP, for GOD can make YOU WORSHIP HIM whether YOU LOVE HIM or NOT, but HE will not make YOU LOVE HIM!

NOTE 2: พระเจ้าได้ขอให้ผมทำความเข้าใจระหว่างคำว่า ความรัก และ การนมัสการ แม้ว่าความรักจะเป็นรูปแบบที่เข้มแข็งที่สุดของการนมัสการ แต่มันก็มีความแตกต่างระหว่างสองคำนี้ คุณสามารถมีความรัก ความชื่นชม เทิดทูน ใครก็ตามเช่นพระเยซูคริสต์ คู่ครอง พี่น้องชายหญิง เพื่อนๆ โดยไม่จำเป็นต้องนมัสการพวกเขาได้ ขณะที่ความรักเป็นวิธีการของการนมัสการ ตัวมันเองกลับไม่ใช่การนมัสการ การนมัสการในความหมายของพระคัมภีร์คือการสรรเสริญสดุดีพระเจ้าโดยไม่มีการแบ่งแยกใดๆซึ่งแตกต่างกับความรักที่เรามีให้กับคนอื่นๆ หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ คนเราสามารถรักคนได้หลายคนได้ในขณะที่นมัสการได้เพียงแค่พระเจ้าองค์เดียว เราสามารถนมัสการพระเจ้าจากความรักหรือจากความกลัวได้ แต่เราไม่สามารถที่จะรักจากความกลัวได้ นี่คือความแตกต่างระหว่างความรักและการนมัสการ เพราะพระเจ้าสามารถทำให้คุณนมัสการพระองค์ได้ไม่ว่าคุณจะรักพระองค์หรือไม่ก็ตาม แต่พระองค์จะไม่ทำให้คุณรักพระองค์