Saturday, November 1, 2014

เล่มที่ 1 บทที่ 6.6 Exodux (อพยพ)

Revealing The Bible's Truth

6.6 Exodus

อพยพ

The Second Book of MOSES, called Exodus, picks up the story of the CHILDREN of ISRAEL after they had lived in the land of Egypt for 350 years. Therefor, there is a 350- year gap between the end of the Book of Genesis and beginning of the Book of Exodus. The Book of Exodus covers the CHILDREN of ISRAEL'S DELIVERANCE by MOSES, out of Egypt and also DELIVERANCE OUT of the hard bondage that the succeeding Pharaoh had placed them in. It also tells of the many MIRACLES that GOD performed before their very eyes, and before the eyes of Pharaoh and the Egyptian people.

หนังสือเล่มที่สองของโมเสสเรียกว่า “อพยพ” ได้หยิบยกเรื่องของลูกหลานของอิสราเอลหลังจากพวกเขาได้อาศัยอยู่ในดินแดนของอียิปต์เป็นระยะเวลา 350 ปี ด้วยเหตุนี้จึงมีช่องว่างของเวลา 350 ปีที่ไม่ได้ระบุลงไประหว่างตอนท้ายของพระธรรมปฐมกาลและก่อนเริ่มต้นของพระธรรมอพยพ พระธรรมอพยพนี้เกี่ยวข้องกับการปลดปล่อยลูกหลานของอิสราเอลออกจากอียิปต์โดยโมเสส และยังถือเป็นการปลดปล่อยจากการเป็นทาสในอียิปต์ที่ฟาโรต์ได้กระทำ และยังพูดถึงการอัศจรรย์มากมายที่พระเจ้าได้กระทำต่อหน้าต่อตาพวกเขาและต่อหน้าต่อตาของฟาโรห์และประชากรของอียิปต์อีกด้วย

Contrary to what most people believe, the Egyptian people who had lived near to the HEBREWS became very good friends with the HEBREWS, even though their religious beliefs and customs were significantly different. The Egyptian People were taught by their government to hate the HEBREWS, so many of them had to hide their affections and could not openly show their friendships with the Children of ISRAEL.

ตรงข้ามกับสิ่งที่คนทั่วไปเชื่อ ชาวอียิปต์ที่อาศัยใกล้กับคนฮีบรูได้กลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันแม้ว่าความเชื่อและขนบธรรมเนียมประเพณีจะต่างกันอย่างเห็นได้ชัดก็ตาม ชาวอียิปต์ได้ถูกทางการเป่าหัวให้เกลียดชาวฮีบรูดังนั้นพวกเขาหลายคนจึงจำเป็นต้องเก็บซ่อนความรู้สึกไว้และไม่สามารถแสดงความเป็นมิตรออกมาได้อย่างชัดเจนกับบรรดาลูกหลานของอิสราเอล

There was a concern with Pharaoh just prior to the birth of MOSES that the HEBREWS would soon outnumber the Egyptian people. There was a population explosion of the HEBREW PEOPLE who had come into Egypt with only SEVENTY PEOPLE and then grew to well over ONE MILLION in just 350 years. This posed a threat to Pharaoh and his regime due to the HEBREWS birthrate being significantly greater than theirs.

ก่อนหน้าที่โมเสสจะเกิด ฟาโรห์ได้เกิดความวิตกกังวลอย่างมากว่าชาวฮีบรูจะมีจำนวนประชากรมากกว่าชาวอียิปต์ เนื่องจากประชากรชาวฮีบรูนั้นได้ขยายขึ้นมากจากเมื่อก่อนที่ตอนเพิ่งย้ายมาอยู่อียิปต์นั้นมีจำนวนเพียงแค่ 70 คนเท่านั้นแต่ตอนนั้นจำนวนประชากรได้เพิ่มมากขึ้นเป็น 1 ล้านคนภายในระยะเวลาเพียง 350 ปี สิ่งนี้เป็นภัยคุกคามต่อการปกครองของฟาโรห์เนื่องจากอัตราการเกิดของชาวฮีบรูนั้นสูงกว่าอัตราการเกิดของชาวอียิปต์อย่างเห็นได้ชัด

This birthrate difference of the two different peoples living in Egypt was primarily due to the HEBREWS being circumcised, and the Egyptians being uncircumcised. This circumcising of the HEBREW males resulted in the HEBREW women conceiving at a much greater rate than the Egyptian women.

อัตราการเกิดนี้ที่แตกต่างกันระหว่างคนสองคนที่อาศัยอยู่ในดินแดนอียิปต์เหมือนกันนั้นเป็นเพราะว่าชาวฮีบรูนั้นได้มีการเข้าสุหนัตแต่ชาวอียิปต์ไม่มี การเข้าสุหนัตของชายชาวอีบรูเป็นเหตุให้หญิงชาวฮีบรูมีโอกาสตั้งครรภ์ได้มากกว่าหญิงชาวอียิปต์อย่างมาก

The desensitizing effect caused by the circumcising allowed for a prolonged period of copulation, thus increasing the level of conception by the HEBREW women. With ongoing wars with Egypt and the other neighboring countries, Pharaoh had a great concern that there could be a civil unrest between the two peoples of Egypt, and that the HEBREWS would join forces with his enemies against Egypt. Pharaoh was also concerned that due to the continual population growth of the HEBREW people that they would soon outnumber the Egyptians, thus leading to an overthrow of his ruling government.

ผลกระทบของการเข้าสุหนัตคือช่วยยืดระยะเวลาของการมีเพศสัมพันธ์ออกไป ซึ่งเป็นสาเหตุของการตั้งครรภ์ที่สูงของหญิงชาวฮีบรู และด้วยการที่อียิปต์มีการสู้รบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างต่อเนื่องทำให้ฟาโรห์เป็นกังวลเกรงว่าจะเกิดเหตุการไม่สงบขึ้นในอียิปต์ระหว่างคนสองเชื้อสายคืออียิปต์และฮีบรู แล้วหากเป็นเช่นนั้นชาวฮีบรูอาจจะไปเข้าร่วมกับกองกำลังของศัตรู และเนื่องจากจำนวนประชากรของฮีบรูนั้นมีจำนวนมากกว่าชาวอียิปต์มากนัก และนั่นอาจจะเหตุนำไปสู่การโค่นล้มอำนาจของพระองค์ในการปกครองบ้านเมืองได้

To countermeasure the birthrate differences of the two different peoples, Pharaoh orders the Egyptian Midwives who aided the HEBREW women when giving birth, to kill all of the HEBREW males and spare only the females. He instructs the Midwives to cast all the male HEBREW children into the Nile River as soon as they are born. However, with a great deal of mutual friendship between the Egyptian Midwives and the HEBREW women, and the Midwives fearing the HEBREW GOD whom the HEBREWS SERVED, this effort fails.

เพื่อแก้ปัญหาอัตราการเกิดที่แตกต่างกันของประชากรสองเชื้อชาติ ฟาโรห์ได้สั่งให้หมอตำแยที่ช่วยหญิงชาวฮีบรูทำคลอดจัดการฆ่าเด็กแรกเกิดเพศชายชาวฮีบรูให้หมดเหลือไว้เพียงแต่เพศหญิงเท่านั้น พระองค์ได้สั่งการให้โยนเด็กชายชาวฮีบรูลงไปในแม่น้ำไนล์ทันทีที่พวกเขาเกิดมา อย่างไรก็ตามเนื่องจากความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างหมอตำแยและหญิงชาวฮีบรูประกอบกับหมอตำแยเหล่านี้เกรงกลัวพระเจ้าของชาวฮีบรูผู้ซึ่งชาวฮีบรูปรนนิบัติอยู่ ความพยายามนี้จึงล้มเหลว

Once Pharaoh hears that the Midwives are not following his orders to kill the HEBREW male children, he then writes into LAW; that all male HEBREWS are to be killed at birth. This LAW allows no options for the midwives to spare the children, for any found breaking the LAW would be put to death for it!

ทันทีที่ฟาโรห์ได้ยินว่าหมอตำแยไม่ได้ทำตามคำสั่งของพระองค์ที่ให้ฆ่าเด็กแรกเกิดชาวฮีบรูเพศชาย พระองค์จึงทรงออกเป็นกฏหมายว่าทารกเพศชายชาวฮีบรูทุกคนจะต้องถูกฆ่าตายเมื่อเกิดมา กฏหมายนี้ทำให้หมอตำแยไม่มีทางเลือกที่จะรักษาชีวิตเด็กไว้เพราะหากพบว่าใครฝ่าฝืนกฏหมายพวกเขาจะต้องตาย

The Man named MOSES
ชายนามว่าโมเสส

Most of the stories told about MOSES are incorrect. MOSES was never considered to be a prince in Egypt MOSES, who was hidden by his family for his first three months of his LIFE, was placed in an ARK of bulrushes and set into the Nile river to keep HIM from being killed. Soon after the ARK had been placed into the NILE RIVER it was claimed by the daughter of Pharaoh, whose name was Mes' -e-phoph. MOSES who was three months old at that time was named MOSES by Mes' -e-phoph and with her being a widow and having no children, she claimed MOSES for herself.

เรื่องราวส่วนใหญ่ที่เกี่ยวกับโมเสสนั้นไม่ถูกต้อง โมโสสไม่เคยถูกมองว่าเป็นเจ้าชายแห่งอียิปต์ผู้ซึ่งถูกซ่อนโดยครอบครัวของเขาหลังจากเกิดได้ 3 เดือน ถูกนำไปวางไว้ในตระกร้าที่ทำด้วยหญ้าแฝกและวางลงในแม่น้ำไนล์เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกฆ่า หลังจากถูกวางลงในตระกร้าในแม่น้ำไม่นานลูกสาวฟาโรห์นามว่า Mes’-e-phoph ก็มาพบเข้า โมเสสที่ขณะนั้นอายุได้ 3 เดือนถูกตั้งชื่อว่า MOSES โดย Mes’-e-phoph และเนื่องจากที่เธอเป็นม้ายและไม่มีลูกเธอจึงเก็บโมเสสมาเลี้ยงเอง

Once Miriam, MOSES' sister saw who had claimed MOSES, she came to Mes'-e-phoph and offered to bring her a HEBREW woman to nurse MOSES. Once Pharaoh's daughter agrees to accept the help of a HEBREW woman for the nursing of MOSES, Miriam then brings MOSES' mother, Joch'-e-bed back to Mes'-e-phoph to breast-feed HIM.

ทันทีที่มิเรียม พี่สาวของโมเสสเห็นว่าใครเป็นผู้เก็บโมเสสไปก็เดินทางไปหา Mes’-e-phoph และเสนอที่จะนำหญิงชาวฮีบรูมาให้ช่วยเลี้ยง ทันทีที่ธิดาของฟาโรห์ตกลงที่จะให้มีแม่นมชาวฮีบรูสำหรับเลี้ยงดูโมเสส มิเรียมก็ได้พาแม่ของเธอ Joch’-e-bed มาหา Mes’-e-phoph เพื่อป้อนนมให้โมเสส

MOSES grew up knowing that he was a HEBREW, and although he was not welcomed by the HEBREW people, over the course of years made many visits to see his Mother, Joch' -e-bed, his brother Aaron, and his sister Miriam. Pharaoh, himself, had known that MOSES was a HEBREW, but allowed his daughter, Mes'-e-phoph to keep him. MOSES, although living in the house of Pharaoh, was always considered to be less than an Egyptian and never considered an equal to one of Pharaoh's own kindred.

โมเสสเติบโตมาโดยรู้ตัวมาตลอดว่าเขาเป็นคนฮีบรู และแม้ว่าเขาจะไม่ได้รับการยอมรับในเหล่าคนฮีบรูแม้ว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมามีคนมากมายเดินทางมาเยี่ยม Joch’-e-bed มารดาของเขา Aaron พี่ชายและ Miriam พี่สาวของเขาก็ตาม ฟาโรห์เองก็รู้มาตลอดว่าโมเสสเป็นคนฮีบรู แต่ก็ยังอนุญาตให้ธิดาของพระองค์เลี้ยงดูโมเสสได้ โมเสสเองที่อาศัยอยู่ในบ้านของฟาโรห์ก็มีฐานะต่ำกว่าคนอียิปต์และไม่เคยถูกยกฐานะให้เท่าเทียมกับบรรดาเครืองญาติของฟาโรห์เลย

In MOSES' early years he received an excellent education and could speak, read, and write in both HEBREW and Egyptian. However, due to him being bilingual, it caused MOSES some difficulty in the pronunciation of some of the WORDS in both of the languages, with him sometimes getting the two languages confused.

ในช่วงเด็กๆโมเสสได้รับการศึกษาที่ดีและสามารถพูด,อ่าน,และเขียนได้ทั้งภาษาฮีบรูและอียิปต์ อย่างไรก็ดีเนื่องจากการที่เขาเป็นเด็กสองภาษาทำให้เขาไม่สามารถพูดบางคำในทั้งสองภาษาได้อย่างชัดเจน บางครั้งเขาก็รู้สึกสับสนในภาษาทั้งสองนี้ด้วย

MOSES did not look like an Egyptian. There were significant differences in the facial features of the HEBREW as opposed to the Egyptian. The Egyptian people had very sharp facial features and extremely large noses. The Egyptian people considered that having a very large nose was a symbol of nobility and beauty.

รูปร่างหน้าตาของโมเสสไม่เหมือนคนอียิปต์ มีความแต่งต่างที่เด่นชัดมากระหว่างหน้าคนฮีบรูกับอียิปต์ คนอียิปต์จะมีโครงสร้างที่คมและมีจมูกใหญ่ คนอียิปต์เชื่อว่าการมีจมูกใหญ่นั้นเป็นลักษณะของความสง่างามและสวยงาม

On the other hand, the HEBREW people had very soft facial features with moderate sized noses. Also the HEBREW'S physical makeup and height was significantly greater than that of the Egyptian. So by appearance alone, MOSES could not have passed for an Egyptian man, and his survival in the house of Pharaoh was totally due to his ADOPTED Mother's love for him.

ในทางตรงกันข้าม คนฮีบรูมีเครื่องหน้าที่ soft กว่าและมีขนาดจมูกปานกลาง รูปร่างและส่วนสูงของคนฮีบรูมีขนาดใหญ่กว่าคนอียิปต์ ดังนั้นดูแค่รูปร่างภายนอกแล้วโมเสสไม่มีทางเหมือนคนอียิปต์ได้ และเหตุที่โมเสสมีชีวิตรอดอยู่ในบ้านฟาโรห์ได้ก็เนื่องจากความรักทีได้รับจากธิดาฟาโรห์ที่รับเขามาเลี้ยงนั่นเอง

Even though most of the HEBREWS could speak in the Egyptian language, very few of the Egyptians could speak in the HEBREW language. MOSES was used by Pharaoh as an interpreter in many circumstances, and also was sent to spy on the HEBREWS. He would also teach the captains overseeing the HEBREWS learn the HEBREW language so they could spy. With the exception of his mother, brother, and sister, MOSES was greatly hated by the HEBREW people and considered to be an informant to Pharaoh. Hopefully you can see that the Egyptians neither accepted MOSES or the HEBREW people and HE was truly a person without nation.

แม้ว่าคนฮีบรูส่วนใหญ่จะพูดภาษาอียิปต์ได้แต่คนอียิปต์น้อยมากที่สามารถพูดภาษาฮีบรูได้ โมเสสทำหน้าที่เป็นล่ามให้กับฟาโรห์ในหลายๆงานแถมยังถูกส่งตัวให้เป็นสปายสืบความเคลื่อนไหวของชาวฮีบรูอีกด้วย เขายังได้สอนให้คนที่ทำหน้าที่ควบคุมดูแลคนฮีบรูเรียนภาษาฮีบรูด้วยเพื่อที่พวกเขาจะสามารถเป็นสปายได้เองด้วย นอกเหนือจากแม่ พี่ชาย พี่สาวของเขาแล้วคนฮีบรูทุกคนเกลียดโมเสสและมองโมเสสว่าเป็นผู้ให้ข้อมูลแก่ฟาโรห์ หวังว่าคุณจะมองเห็นว่าทั้งคนอียิปต์เองก็ไม่ยอมรับโมเสสส่วนคนฮีบรูเองก็เกลียดเขา โมเสสจึงเป็นเหมือนคนไม่มีชนชาติ

MOSES, being BORN of THE SPIRIT 0F GOD, had a relationship with GOD even as a child. Even though he was not allowed to practice his faith with the HEBREW people, he often PRAYED to GOD and knew that HIS PRAYERS were heard. MOSES didn't DEMONSTRATE to others HIS FAITH in GOD until after his CALLING by GOD for the FORTHCOMING DELIVERANCE. GOD directed MOSES' every move, from his birth to his death (if you believe that MOSES had really died).

โมเสสเกิดจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เขามีความสัมพันธ์กับพระเจ้าตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าเขาจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมศาสนากับชาวฮีบรูแต่เขาก็อธิษฐานกับพระเจ้าเสมอและรู้ว่าพระเจ้าได้ยินคำอธิษฐานของเขา ความเชื่อของโมเสสไม่เป็นที่ประจักษ์จนกระทั่ววันที่พระเจ้าได้ทรงเรียกเขาให้นำการปลดปล่อยมาสู่ชนชาติ พระเจ้าได้นำโมเสสในทุกๆเรื่องตั้งแต่เขาเกิดจนกระทั่งเสียชีวิต (ถ้าคุณเชื่อว่าเขาเสียชีวิตจริงอ่ะนะ)

Just after MOSES' fifty-first birthday, HE was out in the slime pits and while there, saw an Egyptian guard whipping a HEBREW man to his death. In defense of the HEBREW man MOSES then killed the guard and then buried him in a shallow grave in the sand. The following day, MOSES went back to the scene of the killing and was spotted by some of the HEBREWS working in the slime pits and they openly called HIM a murderer.

หลังจากอายุได้ 51 ปี เขาได้ไปยังบ่อโคลน ขณะอยู่ที่นั่นเขาได้เห็นทหารอียิปต์ลงโทษตีชายชาวฮีบรูจนถึงตาย เพื่อแก้แค้นให้แก่ชายคนนั้นโมเสสได้ฆ่าทหารยามคนนั้นและฝังเขาไว้ในทราย วันต่อมาหลังจากโมเสสกลับมาจากที่ที่เขาฆ่าทหารยามและมีคนฮีบรูที่ทำงานที่บ่อโคลนที่เห็นเขาฆ่าทหารยามก็ตะโกนเรียกเขาว่า ฆาตกร

Knowing now by the HEBREW comments that the body had been discovered by the Egyptians and furthermore that the punishment for any HEBREW killing an Egyptian would be death, MOSES immediately flees from Egypt to Mid'-i-an, where the Ethiopians dwell. Once in Mid' -i-an, MOSES establishes himself as a SHEPHERD and tends to the flocks of the High Priest there, by the name of Jethro.

จากคำให้การของชาวฮีบรูนั้นก็มีการพบศพของทหารยามและเนื่องจากโทษของขาวฮีบรูที่ฆ่าคนอียิปต์คือถูกประหารชีวิต โมเสสจึงหนีจากอียิปต์ไปยังเมือง Mid’-i-an ที่ซึ่งชาวเอธิโอเปียอาศัยอยู่ ช่วงที่โมเสสอาศัยอยู่ที่เมือง Mid’-a-an นั้นเขาทำอาชีพเลี้ยงแกะและดูแลฝูงแกะของปุโรหิตระดับสูงของที่นั่นนามว่า เยโธร

Jethro, who has a daughter by the name of Zip-po' -rah, brings MOSES into their family and Zip-po'-rah becomes quite attached to MOSES. Zip-po'-rah is then given to MOSES by Jethro to be his wife. Jethro, being a fair, JUST, and a GOD FEARING man, then helps MOSES to grow his FAITH in GOD. With MOSES having THE HOLY SPIRIT of GOD upon him, it becomes quite clear to Jethro that GOD had a higher PURPOSE for MOSES to serve rather than him just being a SHEPHERD and looking after the flocks. After MOSES had lived with Jethro for twelve years and already having his first son with Zip-po' rah whom he named, "Ger '-shom", (meaning: "I have been a stranger in a strange land"), MOSES then seeks by FAITH a closer relationship with GOD.

เยโธรผู้ซึ่งมีลูกสาวชื่ Zip-po’-rah ได้พาโมเสสมายังที่บ้านและเมื่อ Zip-po’-rah เห็นโมเสสก็พึงพอใจโมเสสมาก แล้วเยโธรก็ยกลูกสาวตัวเองให้เป็นภรรยาโมเสส เยโธรเป็นคนดี เที่ยงธรรม และยำเกรงพระเจ้า เขาได้ช่วยโมเสสให้เติบโตในความเชื่อกับพระเจ้า และด้วยที่โมเสสมีพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ด้วยเยโธรจึงรู้แน่ชัดว่าพระเจ้ามีพระประสงค์สำหรับโมเสสที่สูงส่งกว่านี้ไม่ใช่เพียงแค่ดูแลฝูงแกะให้เขาเป็นแน่ หลังจากโมเสสอาศัยอยู่กับเยโธรเป็นเวลา 12 ปีและมีลูกชายคนแรกกับ Zip-po’-rah แล้วชื่อ “เกอร์โชม” (หมายถึง “ข้าพเจ้าเป็นคนต่างด้าวอาศัยอยู่ต่างประเทศ”) โมเสสแสวงหาพระเจ้าและมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระเจ้ามาก

Being now 63 years old and having been out of Egypt for TWELVE YEARS, MOSES has his second son, and names him "E-li'-e'-zer", (meaning: "GOD has delivered me from the hand of Pharaoh"). Shortly after the birth of E-li'-e'-zer, MOSES then starts to have both DREAMS and PROPHETIC VISIONS, and is INSPIRED by GOD to WRITE the history of the world. Over the next fifteen years MOSES WRITES the entire Book of Genesis.

เมื่ออายุได้ 63 ปีเท่ากับออกมาจากอียิปต์ได้ 12 ปีแล้ว โมเสสก็มีลูกชายคนที่ 2 ชื่อว่า “เอลีอิซอร์” (หมายถึง “พระเจ้าได้ปล่อยฉันเป็นอิสราจากพระหัตถ์ของฟาโรห์”) ไม่นานหลังจากกำเนิดของ เอลีอิซอร์ โมเสสก็เริ่มฝันและเห็นนิมิตรและได้รับการดลใจจากพระเจ้าให้เขียนประวัติศาสตร์โลก หลังจากนั้นอีก 15 ปีต่อมาโมเสสก็เขียนพระธรรมปฐมกาลเสร็จ

This was all done prior to MOSES' going back into the land of Egypt, and also prior to his first meeting with GOD at the BURNING BUSH. Although MOSES had not yet HEARD the VOICE of GOD, he knew by his inspired writings of the Book of Genesis, that HIS two sons should be circumcised. However, his wife Zip-po'-rah, being an Ethiopian woman and living by the manner of the Ethiopian custom, refuses to allow it. This becomes an issue that is ongoing between MOSES and Zip-po'-rah and causes a permanent division in their marriage.

ทุกอย่างเสร็จสิ้นก่อนที่โมเสสจะกลับไปยังอียิปต์ และก่อนที่เขาจะพบพระเจ้าที่พุ่มไม้ไฟ แม้ว่าตอนนั้นโมเสสจะยังไม่เคยได้ยินเสียงพระเจ้าแต่เขารู้ว่าลูกชายทั้งสองของเขาต้องเข้าสุหนัตจากพระธรรมปฐมกาลที่เขาเขียนหลังจากได้รับการดลใจนั้น อย่างไรก็ดี Zip-po’-rah ซึ่งเป็นหญิงชาวเอธิโอเปียและดำเนินชีวิตตามวัฒนธรรมเอธิโอเปียไม่อนุญาตให้ทำเช่นนั้น สิ่งนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ทำให้ทั้งคู่แยกกันในที่สุด

It wasn't until the age SEVENTY-EIGHT (27 years after HIS leaving Egypt) that MOSES while tending to the flocks at the backside of Mount Sinai in Horeb, sees a strange phenomenon that is called "THE BURNING BUSH". This is a bush that appears to be on fire; however, there isn't any smoke from the fire. Once MOSES approaches the bush that is burning, HE sees the ANGEL of THE LORD amidst the flames. A VOICE then CALLS OUT to HIM from the bush.

จนกระทั่งเขาอายุ 78 ปี (27 ปีหลังจากหนีมาจากอียิปต์) ที่โมเสสเลี้ยงดูฝูงแกะอยู่ที่ด้านหลังภูเขาซีนายในโฮเรบ เขาเห็นปรากฎการณ์ประหลาดเกิดขึ้นที่เรียกว่า “พุ่มไม้ไฟ” คือพุ่มไม้ที่ดูเหมือนว่ากำลังไฟลุกแต่กลับไม่มีควันไฟ ทันทีที่โมเสสเข้าไปใกล้พุ่มไม้ที่กำลังลุกเป็นไฟนั้นเขาก็ได้เห็นฑูตสวรรค์ของพระเจ้าอยู่ตรงกลางพุ่มไม้นั้น และได้มีเสียงเรียกเขาออกมาจากพุ่มไม้นั้น

Exodus 3:4 And when THE LORD saw that he turned aside to see, GOD CALLED unto him out of the midst of the bush, and said, MOSES, MOSES. And he said, Here am I.

อพยพ 3:4 และเมื่อพระเยโฮวาห์ทอดพระเนตรเห็นเขาเดินเข้ามาดูพระเจ้าจึงตรัสแก่เขาออกมาจากท่ามกลางพุ่มไม้นั้นว่า “โมเสส โมเสส” และโมเสสทูลตอบว่า “ข้าพระองค์อยู่ที่นี่”

Exodus 3:5 And HE said, Draw not nigh hither: put off thy shoes from off thy feet, for the place whereon thou standest, is HOLY GROUND.

อพยพ 3:5 พระองค์จึงตรัสว่า “อย่าเข้ามาใกล้ที่นี่ จงถอดรองเท้าของเจ้าออกเสีย เพราะว่าที่ซึ่งเจ้ายืนอยู่นี้เป็นที่บริสุทธิ์”

Exodus 3:6 Moreover HE said, I am the GOD of thy father, the GOD of ABRAHAM, the GOD of ISAAC, and the GOD of JACOB, And MOSES hid his face; for he was afraid to look upon GOD.

อพยพ 3:6 แล้วพระองค์ตรัสอีกว่า “เราเป็นพระเจ้าของบิดาเจ้า เป็นพระเจ้าของอับราฮัม เป็นพระเจ้าของอิสอัค และเป็นพระเจ้าของยาโคบ” และโมเสสปิดหน้าเสีย เพราะกลัวไม่กล้ามองดูพระเจ้า

GOD then continues to talk to MOSES and tells him how HE has heard the cry of the CHILDREN of ISRAEL due to their enslavement, and that HE has come down to DELIVER them out of Egypt, and HE WILL do so by the HAND of MOSES. GOD also tells MOSES that after the CHILDREN of ISRAEL have been brought out of Egypt that they are to be brought back to this Mountain (Sinai at Horeb), to WORSHIP HIM!

พระเจ้าก็ได้ตรัสกับโมเสสต่อไปและบอกเขาว่าพระองค์ได้ยินเสียงร้องไห้ของลูกหลานอิสราเอลเนื่องจากการถูกกดขี่ให้เป็นทาสและพระองค์จะปลดปล่อยพวกเขาให้เป็นไทจากอียิปต์ และพระองค์จะกระทำดังนั้นผ่านโมเสส พระเจ้ายังได้บอกโมเสสอีกด้วยว่าหลังจากที่ลูกหลานของอิสราเอลถูกนำออกจากอียิปต์แล้วพวกเขาจะต้องถูกพาไปยังภูเขาซีนาย (ซีนายที่โฮเรบ) เพื่อนมัสการพระเจ้า

MOSES, being a very meek man tries to make excuses to GOD on the various problems that HE would encounter, if HE were to try to do these things for THE LORD. MOSES starts out by telling GOD, that when HE goes to the people and tells them that the GOD of their fathers has sent HIM to them, and they then ask what is THIS GOD'S NAME what shall HE then tell them?

โมเสสซึ่งเป็นคนที่นอบน้อมมากได้แก้ตัวกับพระเจ้าด้วยการหยิบยกปัญหามากมายที่เขาอาจจะต้องเผชิญหากทำตามที่พระเจ้าสั่ง โมเสสเริ่มต้นด้วยการบอกพระเจ้าว่าหากเขาไปหาคนเหล่านั้นและบอกว่าพระเจ้าของบิดาของพวกเขาได้ส่งเขามา คนเหล่านั้นจะต้องถามกลับมาแน่ๆว่า พระเจ้าชื่ออะไร? แล้วเขาจะตอบคนเหล่านั้นว่าอะไรดี?

Exodus 3:14 And GOD said unto MOSES, I AM THAT I AM: And HE said, thus shalt thou say unto the CHILDREN of ISRAEL, I AM hath sent me unto you. 

อพยพ 3:14 พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า “เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น” แล้วพระองค์ตรัสว่า “เจ้าจงไปบอกชนชาติอิสราเอลว่า ‘เราเป็นได้ทรงใช้ข้าพเจ้ามาหาท่านทั้งหลาย”

Then THE LORD proceeds to give MOSES instructions. GOD tells MOSES that HE is to go to the Elders of the CHILDREN of ISRAEL and tell them that the GOD of their fathers has sent HIM to them. And, that GOD will DELIVER them out of their BONDAGE by Pharaoh and DELIVER them out of their captivity in Egypt, and that when HE tells them this; they will believe him.

พระเจ้าจึงได้เริ่มให้ทิศทางโมเสสว่าต้องทำอย่างไรบ้าง พระเจ้าบอกโมเสสว่าเขาจะต้องไปหาผู้อาวุโสท่ามกลางลูกหลานอิสราเอลและบอกเขาว่าพระเจ้าของบิดาของพวกเขาได้ส่งโมเสสไปหา และบอกว่าพระเจ้าจะปลดปล่อยพวกเขาออกจากการถูกกดขี่โดยฟาโรห์และปลดปล่อยพวกเขาจากการเป็นทาสที่อียิปต์ และเมื่อโมเสสบอกดังนี้แล้วพวกเขาจะเชื่อ

Note 7: The reason that the people will believe MOSES when HE tells them these things, though it is unbeknown to MOSES at the time, is that a young boy by the name of O'-she'-a had already PROPHESIED of HIS COMING. O'-she'-a being filled with THE SPIRIT of GOD, was believed by the HEBREW people to be a Prophet, and had since Prophesied of the COMING DELIVERER. This young boy will be given a new NAME by MOSES after their DELIVERANCE, he shall be RENAMED and called by the NAME of “JOSHUA".

หมายเหตุ 7 : เหตุผลที่ว่าทำไมคนเหล่านี้จะเชื่อโมเสสเมื่อเขาบอกสิ่งเหล่านี้แม้ว่าในเวลานั้นโมเสสจะไม่รู้เรื่องนี้ในเวลานั้นก็ตาม เป็นเพราะมีเด็กคนหนึ่งชื่อว่า O’-she’-a ได้พยากรณ์ถึงการมาถึงของเขาล่วงหน้าไว้แล้ว O’-she’-a เป็นเด็กที่ประกอบด้วยพระวิญญาณพระเจ้าและเป็นที่เชื่อถือของชาวฮีบรูว่าเป็นผู้พยากรณ์ และได้พยากรณ์ถึงการกำลังมาถึงของผู้ปลดปล่อย เด็กชายนี้จะได้รับชื่อใหม่ที่ตั้งโดยโมเสสหลังจากที่พวกเขาได้ช่วยเหลือคนฮีบรูเรียบร้อยแล้ว โดยเขาจะตั้งชื่อเด็กชายคนนี้ว่า “โยชูวา”

GOD further instructs MOSES, that after he has presented himself to the ELDERS of the TRIBES of ISRAEL, that HE and the Elders must go before Pharaoh and demand that they be released, so they may come to this mountain and WORSHIP their GOD. GOD also tells MOSES that once HE has made this demand to Pharaoh that Pharaoh will not let them go, because GOD will harden his heart.

พระเจ้าได้สั่งโมเสสต่อไปอีกว่า หลังจากที่เขาได้ไปปรากฎตัวต่อหน้าผู้อาวุโสของบรรดาอิสราเอลทุกเผ่าแล้ว เขาและผู้อาวุโสเหล่านั้นจะต้องไปหาฟาโรห์และบอกว่าพวกเขาจำเป็นต้องได้รับการอนุญาตให้เดินทางไปยังภูเขาซีนายเพื่อนมัสการพระเจ้าของพวกเขา พระเจ้ายังได้บอกโมเสสว่าทันทีที่เขาได้แจ้งความประสงค์นี้ต่อฟาโรห์แล้วพระองค์จะไม่อนุญาตให้พวกเขาไปเพราะว่าพระเจ้าได้กระทำให้จิตใจของพระองค์แข็งกระด้างไป

GOD says to MOSES that HE shall stretch forth HIS MIGHTY HAND, and will smite Egypt with HIS MIGHTY WONDERS. After GOD has severely punished Pharaoh and Egypt for what they had done to the Children of ISRAEL, Pharaoh will then release them. Furthermore GOD instructs MOSES that prior to their release from Egypt , that all the people are to borrow items of value from their Egyptian neighbors so they will not leave Egypt empty handed.

พระเจ้าได้ตรัสกับโมเสสว่าพระองค์จะยื่นพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ออกไปและตีสอนอียิปต์ด้วยการอัศจรรย์มากมาย หลังจากพระเจ้าได้ลงโทษฟาโรห์และอียิปต์สักระยะเวลาหนึ่งสำหรับสิ่งที่พวกเขาได้กระทำต่อลูกหลานอิสราเอล ฟาโรห์จะปล่อยพวกเขาไป นอกจากนี้พระเจ้ายังได้สั่งโมเสสว่าก่อนที่จะได้รับการอนุญาตให้ไปจากอียิปต์ทุกคนจะต้องทำการยืมสิ่งของมีค่าจากเพื่อนบ้านชาวอียิปต์เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ออกจากอียิปต์ไปแบบมือเปล่า

MOSES, who now is looking more like a SHEPHERD rather than a warrior ready for battle, then asks THE LORD, what shall HE use for a BATTLE WEAPON? Then GOD asked MOSES, what he had in his hand, and MOSES answers, "a ROD". GOD says, "THIS ROD SHALL BE YOUR WEAPON OF WAR"! THE LORD tells MOSES to cast THE ROD to the ground and when MOSES does as THE LORD has so instructed HIM to do, THE ROD turns into a serpent. THE LORD further tells MOSES to grab the serpent by the tail, and as soon as MOSES does it, the serpent again became THE ROD.

โมเสสผู้ซึ่งตอนนี้ทำหน้าที่เหมือนผู้ดูแลฝูงแกะมากกว่านักรบในสนามรบได้ถามพระเจ้าว่าเขาจะใช้อะไรเป็นอาวุธสำหรับศึกในครั้งนี้ พระเจ้าถามโมเสสกลับมาว่า อะไรอยู่ในมือเจ้า? และโมเสสตอบว่า “ไม้เท้า” พระเจ้าตรัสว่า “ไม้เท้านี้จะเป็นอาวุธในการทำสงครามของเจ้า” พระเจ้าได้บอกโมเสสให้โยนไม้เท้าลงพื้นดินและโมเสสก็ทำตามที่พระเจ้าสั่ง ไม้เท้าก็กลายเป็นงู พระเจ้ายังได้บอกโมเสสให้จับที่หางงูนั้นและทันที่ที่เขาทำงูก็กลับกลายมาเป็นไม้เท้าเช่นเดิม

Note 8: THE ROD in the hand of MOSES REPRESENTS THE WORD of GOD! Throughout all the SCRIPTURES contained in THE HOLY BIBLE, THE LORD teaches you to fight the enemy with THE WORD of GOD! 

หมายเหตุ 8 : ไม้เท้าในมือของโมเสสเป็นตัวแทนของพระคำของพระเจ้า พระวจนะพระเจ้าตลอดทั้งเล่มพระคัมภีร์ไบเบิล พระเจ้าสอนให้คุณต่อสู้กับศัตรูด้วยพระคำของพระเจ้า

GOD, to further strengthen the FAITH of MOSES, tells MOSES to put his hand into his robe, and MOSES does as THE LORD said. When MOSES removes his hand from his robe the hand becomes white and leprous. MOSES is now told to put his hand back into his robe a second time, and this time when he removes his hand from the robe, it becomes normal again.

พระเจ้ายังได้เพิ่มความเชื่อของโมเสสให้แข็งแรงขึ้นโดยการบอกเขาให้ล้วงมือของเขาเข้าไปในเสื้อคลุม เมื่อโมเสสทำดังที่พระเจ้าบอก เมื่อเขาเอามือกลับออกมาจากเสื้อคลุมมือนั้นก็กลายเป็นสีขาวและเป็นโรคเรื้อน แล้วพระเจ้าก็บอกโมเสสให้เอามือใส่กลับเข้าไปในเสื้อคลุมอีกครั้งหนึ่งแล้วครั้งนี้เมื่อเอามือออกมาจากเสื้อคลุมทุกอย่างก็กลับเป็นปกติเช่นเดิม

MOSES, still being uncertain about his capabilities due to HIS lack of CONFIDENCE and his concern in being able to do as GOD instructed him to do, makes further excuses to THE LORD. MOSES tells THE LORD that HE is slow of speech and has a slow tongue, therefor making HIM unfit to SPEAK for THE LORD!

โมเสสเองที่ยังไม่มั่นใจในตัวเองและกังวลเกี่ยวกับการทำตามคำสั่งของพระเจ้าได้แก้ตัวกับพระเจ้าอีก เขาบอกพระองค์ว่าเขาเป็นคนพูดช้าและพูดไม่คล่อง จึงทำให้เขาไม่เหมาะที่จะต้องไปพูดในนามพระเจ้า

Note 9: Many people believe that MOSES had a problem with stuttering. This was not the case at all .The primary language spoken by MOSES was Egyptian, however he also spoke in HEBREW. When MOSES spoke in the HEBREW TONGUE he spoke it rather poorly as he had problems pronouncing many of the WORDS. His brother Aaron and his sister Miriam tested MOSES about his HEBREW speaking on several occasions, and MOSES didn't feel comfortable when speaking in the HEBREW language. He also did not speak the Egyptian language with absolute perfection, as sometimes he would substitute a HEBREW WORD for an Egyptian word, thus causing him to have to think about what he was about to say, prior to say it. This cautious thinking caused MOSES to be rather slow in his speaking. When MOSES spoke to GOD, HE spoke to HIM in the HEBREW language; therefor MOSES knew that THE LORD saw that he was having difficulty pronouncing some of the WORDS. However, GOD was not going to allow MOSES a way out, because HE knew that MOSES’ brother Aaron spoke both the HEBREW and Egyptian languages perfectly! And also, GOD had made MOSES who was born of THE HOLY SPIRIT, to be THE DELIVERER, and there was not going to be any SUBSTITUTIONS!

หมายเหตุ 9 : หลายคนเชื่อว่าโมเสสเป็นคนพูดติดอ่าง สิ่งนี้ไม่ใช่แน่นอน ภาษาที่โมเสสใช้หลักๆในชีวิตคือภาษาอียิปต์ อย่างไรก็ดีเขาเองก็พูดภาษาฮีบรูได้เช่นกัน เมื่อโมเสสพูดภาษาฮีบรูเขาก็พูดไม่ชัดเนื่องจากมีปัญหาในการออกเสียงคำไม่ชัดเจนหลายคำ อาโรนพี่ชายของเขาและมิเรียมพี่สาวได้ทดสอบการพูดภาษาฮีบรูของเขาหลายครั้งด้วยกันและโมเสสเองก็ไม่รู้สึกสะดวกใจที่จะพูดเป็นภาษาฮีบรู เขาเองก็ไม่ได้พูดภาษาอียิปต์อย่างคล่องแคล่วเนื่องจากบางครั้งเขาก็เอาคำในภาษาฮีบรูมาใส่ในภาษาอียิปต์แทน ดังนั้นจึงเป็นเหตุให้เขาต้องคิดนานกว่าคนทั่วไปก่อนที่จะพูดออกมา การคิดอย่างรอบคอบก่อนพูดนี้เป็นเหตุให้โมเสสพูดช้า เมื่อเขาพูดกับพระเจ้าเขาพูดกับพระองค์เป็นภาษาฮีบรู ดังนั้นโมเสสจึงรู้ว่าพระเจ้าเห็นแล้ววว่าเขามีปัญหาในเรื่องการออกเสียงบางคำ อย่างไรก็ดีพระเจ้าไม่ได้ให้โมเสสยกเลิกการทรงเรียกนี้ เพราะพระองค์รู้ว่าพี่ชายของโมเสสนั้นสามารถพูดได้ทั้งภาษาฮีบรูและอียิปต์ได้อย่างคล่องแคล่ว และพระองค์ก็ได้ทำให้โมเสสผู้ซึ่งเกิดจากพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้ปลดปล่อยและสิ่งนี้จะไม่มีใครสามารถทำแทนได้

These continuing excuses being made by MOSES finally ANGERS THE LORD. Then GOD tells MOSES that his brother Aaron can do the talking for him. GOD further explains to MOSES, that HE WILL GIVE THE WORDS TO MOSES and MOSES can give the WORDS to Aaron, and then Aaron could speak to the people. GOD goes on to tell MOSES, that furthermore; his brother Aaron will come out to meet him just prior to his entering into Egypt and that Aaron will be very happy when he sees him. And, Aaron will know that THE LORD has sent MOSES to DELIVER the CHILDREN of ISRAEL out of then BONDAGE in Egypt.

การมีข้ออ้างต่างๆนาๆของโมเสสนี้มีมาเรื่อยๆจนสุดท้ายทำให้พระเจ้าโมโห พระเจ้าบอกโมเสสว่าพี่ชายของเขาสามารถพูดแทนเขาได้ พระเจ้าได้อธิบายโมเสสต่อไปว่าพระองค์จะให้ถ้อยคำแก่โมเสสและโมเสสสามารถบอกต่อถ้อยคำเหล่านั้นแก่อาโรน แล้วก็ให้อาโรนพูดต่อประชากรแทน พระเจ้าได้บอกโมเสสต่อไปอีกว่าอาโรนพี่ชายของเขาจะออกมาพบเขาก่อนหน้าที่เขาจะเดินทางถึงอียิปต์และจะมีความดีใจอย่างมาที่ได้เจอกัน อาโรนจะรู้ว่าพระเจ้าได้ส่งโมเสสมาเพื่อช่วยปลดปล่อยลูกหลานอิสราเอลจากการเป็นทาสในอียิปต์

MOSES, after his meeting with THE LORD at the BURNING BUSH, returns to HIS father-in-law, Jethro, and MOSES tells Jethro about his meeting with GOD. But MOSES does not tell Jethro the details as to what THE LORD had wanted HIM to do. After struggling with what THE LORD had told HIM, and one and one-half years had past from the time of MOSES' INITIAL MEETING with GOD, MOSES then goes to Jethro and tells him that he must return to Egypt. He also tells Jethro how he must free the HEBREW people from their slavery, as GOD had instructed him to do. Jethro then BLESSES MOSES and prays for his safe journey back to Egypt. Then with Zip-po'-rah and their two sons riding on asses and MOSES walking before them with his ROD in hand, the four of them set out to go back into the land of Egypt.

หลังจากที่โมเสสได้พบพระเจ้าที่พุ่มไม้ไฟแล้ว เขาก็กลับไปหาเยโธรพ่อตาของเขาและได้บอกพ่อตาว่าเขาได้พบกับพระเจ้า แต่โมเสสไม่ได้บอกรายละเอียดให้เยโธรฟังว่าพระเจ้าปรารถนาให้เขาทำสิ่งใด หลังจากต่อสู้กับการทรงเรียกที่พระเจ้าได้ตรัสกับเขาเวลาก็ล่วงเลยผ่านไปถึง 1 ปีครึ่ง นับจากวันแรกที่โมเสสได้พบพระเจ้า เขาได้ไปหาเยโธรและบอกว่าเขาจำเป็นต้องกลับไปยังอียิปต์ และยังได้บอกเยโธรด้วยว่าเขาจะต้องปลดปล่อยชนชาติฮีบรูให้เป็นไทจากการเป็นทาสดังที่พระเจ้าได้ตรัสให้เขาทำ แล้วเยโธรก็ได้อวยพรโมเสสและอธิษฐานเผื่อให้เขาเดินทางปลอดภัยกลับไปยังอียิปต์ แล้วศิปโปราห์และลูกชายทั้งสองก็ขี่ลาส่วนโมเสสเดินนำหน้าพวกเขาพร้อมกับไม้เท้าในมือ แล้วทั้งสี่คนก็เริ่มเดินทางกลับไปยังแผ่นดินอียิปต์

Exodus 4:20 And MOSES took HIS wife and HIS sons, and set them upon an ass, and HE returned to the land of Egypt: MOSES took the ROD of GOD in HIS hand.

อพยพ 4:20 โมเสสจึงให้ภรรยาและบุตรชายของตนขี่ลากลับไปยังแผ่นดินอียิปต์ ส่วนโมเสสก็ถือไม้เท้าของพระเจ้าในมือของท่านไปด้วย

NOTE 10: The ROD of GOD in MOSES' hand is also referred to elsewhere in the Scriptures as being a "ROD OF IRON". This ROD represents THE WORD of GOD. The underlying MESSAGE in the Scriptures shows that one single man, armed only with THE WORD of GOD, undertakes a journey to go into the most powerful nation in the known world to free GOD'S PEOPLE! You will see as the story progresses that MOSES, armed only with THE WORD of GOD, not only frees the PEOPLE from their BONDAGE, but also brings Pharaoh and Egypt to their knees. 

หมายเหตุ10: ไม้เท้าของพระเจ้าในมือของโมเสสนั้นยังถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งในพระคัมภีร์ว่า “คฑาเหล็ก” คฑานี้หมายถึงพระวจนะพระเจ้า ข้อความที่ซ่อนอยู่ภายใต้พระวจนะพระเจ้าตอนนี้นั้นหมายความถึง ชายผู้หนึ่งที่สองมือมีเพียงพระวจนะพระเจ้าได้ออกเดินทางไปยังประชาชาติที่ขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดชาติหนึ่งเพื่อที่จะปลดปล่อย “ประชากรของพระเจ้า” เหตุการณ์ที่ดำเนินต่อไปนี้คุณจะเห็นว่าโมเสสที่มีอาวุธเป็นพระวจนะพระเจ้านั้นไม่เพียงแต่ปลดปล่อยประชากรจากการเป็นทาสเท่านั้นแต่ยังทำให้ฟาโรห์ต้องคุกเข่ายอมแพ้ลงต่อเขาด้วย

MOSES, having been forewarned by GOD to not enter into Egypt, until his two sons were both circumcised, then sees an ANGEL sent by GOD to RESTRAIN him. Zip-po'-rah, also seeing the ANGEL of THE LORD in their direct path, reluctantly agrees to circumcise their sons. After she has circumcised them, Zip'-po-rah then cast their foreskins at the feet of MOSES in submission and disgust for having to do so. 

พระเจ้าได้เตือนโมเสสล่วงหน้าว่าอย่าเพิ่งเข้าไปยังแผ่นดินอียิปต์จนกว่าบุตรชายทั้งสองของเขาจะเข้าสุหนัตเรียบร้อยเสียก่อน โดยพระองค์ได้ส่งฑูตสวรรค์เพื่อหยุดยั้งพวกเขา ศิปโปราห์ได้เห็นฑูตสวรรค์ขวางทางอยู่จึงได้ทำการเข้าสุหนัตให้กับบุตรชายของเธออย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก หลังจากที่เธอเข้าสุหนัตให้บุตรชายเสร็จแล้ว นางก็ได้โยนหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศนั้นไปที่เท้าของโมเสสแสดงออกถึงการยอมจำนนและขยะแขยงในการกระทำเช่นนั้น

As a result of this reluctance to be circumcised, by the TWO SONS of MOSES and their mother, the two sons are never allowed to enter into priesthood, and the relationship between Zip-po'-rah and MOSES ENDS. MOSES has both the mother and the two sons return to her father, Jethro, to wait for MOSES' return from Egypt. During the entire period that MOSES spent in Egypt he neither sees his wife, or his two sons.

และด้วยเหตุที่บุตรชายทั้งสองของโมเสสและมารดาของพวกเขาไม่เต็มใจที่จะเข้าสุหนัต บุตรชายทั้งสองจึงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสู่การเป็นปุโรหิตอีกเลย และความสัมพันธ์ระหว่างนางศิปโปราห์และโมเสสก็สิ้นสุดแค่นั้น โมเสสได้ให้ภรรยาและบุตรชายทั้งสองเดินทางกลับไปยังแผ่นดินของเยโธรเพื่อรอคอยโมเสสกลับมาจากอียิปต์ที่นั่น ระหว่างระยะเวลาทั้งหมดที่โมเสสอยู่ที่อียิปต์นั้นเขาไม่ได้เห็นภรรยาและบุตรชายทั้งสองเลย

After HE sends his family back to Jethro, MOSES continues on his journey to Egypt and GOD sends his brother Aaron out to meet him along the way. Aaron, being a sculptor and an engraver for Pharaoh and having one of the more esteemed jobs given to a HEBREW slave, was allowed to move freely about and to even go outside of the borders of Egypt. After being told by GOD of MOSES' coming for the DELIVERANCE of ISRAEL, Aaron goes out to meet MOSES in Horeb. 

หลังจากที่เขาได้ส่งครอบครัวของเขาให้กลับไปอยู่กับเยโธรแล้ว โมเสสก็เดินทางต่อไปยังอียิปต์และพระเจ้าได้ส่งอาโรนพี่ชายของเขาไปพบกับเขาระหว่างทาง อาโรนเป็นช่างปฏิมากรและเป็นคนแกะสลักให้กับฟาโรห์ ซึ่งถือว่าเป็นอาชีพที่ได้รับความเคารพนับถือเป็นที่ยกย่องมากกว่าอาชีพอื่นของบรรดาทาสชาวฮีบรู เขาได้รับอิสรภาพในการเดินทางไปที่ใดก็ได้แม้กระทั่งออกไปนอกเขตแดนของอียิปต์ หลังจากที่พระเจ้าได้ตรัสบอกกับอาโรนว่าโมเสสกำลังเดินทางมาเพื่อปลดปล่อยชนชาติอิสราเอล อาโรนก็เดินทางออกไปเพื่อพบกับโมเสสในแผ่นดินโฮเรบ 

After the meeting of MOSES and Aaron they cross over the border and into Egypt. MOSES explains to Aaron, all that GOD had told him to do. MOSES also tells Aaron that he must speak for HIM because of HIS problem of being slow of speech. MOSES tells Aaron, that HE would explain to Aaron what GOD wants him to say, and Aaron would be the one who would talk to the people! They both then gather up the Elders of the Twelve Tribes of the CHILDREN of ISRAEL and Aaron explains to them GOD'S PLAN for their DELIVERANCE out of bondage. As GOD had told MOSES it would be, so it was, the people BELIEVED what MOSES had told them about their DELIVERANCE. 

หลังจากที่ทั้งสองได้พบกันแล้ว พวกเขาก็เดินทางกลับเข้าไปยังดินแดนอียิปต์ โมเสสได้เล่าให้อาโรนฟังถึงสิ่งที่พระเจ้าได้ตรัสกับเขา โมเสสยังได้บอกอาโรนด้วยว่าเขาจะต้องเป็นคนพูดแทนโมเสสเนื่องจากการพูดช้า โมเสสบอกอาโรนว่าเขาจะเล่าให้อาโรนฟังถึงสิ่งที่พระเจ้าปรารถนาให้เขาพูด และอาโรนจะต้องเป็นคนที่พูดกับประชากร พวกเขาได้รวบรวมบรรดาผู้อาวุโสของอิสราเอลทั้ง 12 เผ่าและอาโรนก็อธิบายกับพวกเขาถึงแผนการของพระเจ้าที่จะปลดปล่อยพวกเขาออกจากการเป็นทาส พระเจ้าบอกโมเสสว่าอย่างไร เขาก็บอกกับพระชากรอย่างนั้น และประชาชนเชื่อสิ่งที่โมเสสบอกเกี่ยวกับการปลดปล่อยนี้

After speaking to the Elders, MOSES and Aaron go to see Pharaoh. MOSES tells Pharaoh that THE LORD GOD of ISRAEL, says, "LET MY PEOPLE GO, so they may come and WORSHIP ME AT MY MOUNTAIN"! MOSES further says, if Pharaoh will not let GOD'S PEOPLE GO, GOD will punish both Pharaoh and all of Egypt. 

หลังจากที่ได้พูดคุยกับบรรดาผู้อาวุโสแล้ว โมเสสและอาโรนก็เดินทางไปเข้าเฝ้าฟาโรห์ โมเสสบอกฟาโรห์ว่าพระเจ้าของอิสราเอลตรัสว่า “จงอนุญาตให้ประชากรของเราออกไป เพื่อที่พวกเขาจะได้ไปนมัสการเราที่ภูเขา” โมเสสยังได้กล่าวต่ออีกว่า หากฟาโรห์ไม่ปล่อยให้ประชากรของพระเจ้าไป พระเจ้าจะลงโทษทั้งฟาโรห์และอียิปต์ทั้งประเทศ

Pharaoh says in reply, that he knows not their GOD and that they should return to their work in the making of his bricks, and not bother him any further with their nonsense. Pharaoh says furthermore, because they had wasted his time on this matter that he will no longer provide them with the straw they need for the making of the bricks, and that he will no longer provide it as he had done in the past. Pharaoh continues on to say that the slaves daily count of bricks, shall not diminish, even though they must gather their own straw. 

ฟาโรห์ตอบกลับมาว่า พระองค์ไม่รู้จักพระเจ้าของพวกเขาและพวกเขาควรจะกลับไปทำงานของตัวเองคือการสร้างอิฐ และอย่ามากวนพระองค์อีกต่อไปด้วยเรื่องไร้สาระเช่นนี้ ฟาโรห์ยังกล่าวต่อว่า พวกเขาได้ทำให้พระองค์เสียเวลาไปมากแล้วดังนั้นพระองค์จะไม่จัดหาฟางซึ่งจำเป็นในการสร้างอิฐให้อีกต่อไป และจะไม่จัดหาสิ่งต่างๆที่เคยจัดเตรียมให้เช่นในอดีตให้อีกด้วย พระองค์ยังกล่าวต่ออีกว่าจำนวนอิฐที่จะต้องได้ในแต่ละวันนั้นจะต้องไม่น้อยลงกว่าเดิมแม้ว่าพวกเขาจะต้องหาฟางเองก็ตาม

After the people are informed of what Pharaoh said in regard to their gathering their own straw and the brick count should not diminish, by the Egyptian Taskmasters, the HEBREW Leaders REVOLT! For their rebelling, the Taskmasters begin beating the people for not producing enough bricks, causing the Hebrew Leaders to go to Pharaoh and complain about the new rules being imposed upon them. Pharaoh tells them that because of MOSES and Aaron's demands to FREE them, so they may WORSHIP their GOD, they had brought this burden upon themselves.

หลังจากที่ประชาชนได้รับฟังสิ่งที่ฟาโรห์ตรัสเกี่ยวกับการที่พวกเขาต้องหาฟางเองและจำนวนอิฐก็ต้องให้ได้เท่าเดิมนั้น ด้วยการงานที่ยากลำบากทำให้ผู้นำชาวฮีบรูได้ทำการต่อต้านขึ้น และผู้คุมชาวฮีบรูก็ได้เริ่มโบยตีประชากรเมื่อไม่สามารถทำอิฐได้จำนวนเท่าเดิม เป็นเหตุให้ผู้นำชาวฮีบรูขอเข้าเฝ้าฟาโรห์เพื่อร้องเรียนเกี่ยวกับกฎใหม่ที่เอาเปรียบนี้ ฟาโรห์จึงบอกว่าเป็นเพราะโมเสสและอาโรนที่สั่งให้ปลดปล่อยพวกเขาให้เป็นไทเพื่อที่จะไปนมัสการพระเจ้าของพวกเขานั่นแหละ ที่ทำให้เกิดความยากลำบากมาเหนือพวกเขา

After the Leaders return from seeing Pharaoh, they meet MOSES and Aaron along the way. The HEBREW Leaders then complain to MOSES and Aaron about their meeting with Pharaoh and how it had caused the workloads to increase, and how the people were being beaten now for not meeting their daily tally.

หลังจากที่ผู้นำได้กลับไปจากขอเข้าเฝ้าฟาโรห์ พวกเขาได้พบโมเสสและอาโรนระหว่างทาง ผู้นำชาวฮีบรูได้ต่อว่าโมเสสและอาโรนเกี่ยวกับการที่พวกเขาได้ไปพบฟาโรห์และสาเหตุของการที่พวกเขาต้องทำงานยากลำบากเพิ่มมากขึ้นและประชากรก็ถูกโบยตีจากการที่ไม่สามารถทำงานได้ถึงเป้าแต่ละวัน

The Elders then tell MOSES and Aaron that because of them, the lives of the Hebrew People had been made worse rather than better, due to the demands for their freedom being made to Pharaoh. The Leaders further say, that they held both MOSES and Aaron responsible for bringing this hardship on the Children of ISRAEL, because they had not asked either of them to speak to Pharaoh, on their behalf.

บรรดาผู้อาวุโสได้บอกโมเสสและอาโรนว่าเป็นเพราะพวกเขาที่ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวฮีบรูย่ำแย่ลงแทนที่จะดีขึ้น เหตุเพราะที่พวกเขาเข้าไปขอให้ฟาโรห์ปลดปล่อยฮีบรูนั่นเอง ผู้นำยังได้กล่าวต่อด้วยว่าพวกเขารับโทษที่โมเสสและอาโรนได้กระทำทำให้ลูกหลานอิสราเอลต้องลำบากเพราะว่าพวกเขาไม่ได้ขอร้องให้โมเสสกับอาโรนพูดกับฟาโรห์เพื่อพวกเขาสักหน่อย

After hearing the cries of the people, MOSES then confronts THE LORD, and tells HIM that since they had gone to Pharaoh and had said to him what THE LORD had instructed them to say, things had become worse for the people. THE LORD tells MOSES that after Pharaoh sees what HE will do to him that Pharaoh will not only let the people go, he will DEMAND that they leave Egypt.

หลังจากที่ได้ยินเสียงร้องไห้ของผู้คน โมเสสก็ได้เผชิญหน้ากับพระเจ้าและถามพระองค์ว่าเป็นเพราะพวกเขาที่ไปเข้าเฝ้าฟาโรห์และสิ่งที่พวกเขาได้ขอร้องให้ฟาโรห์ทำนั้นเป็นเหตุทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลง พระเจ้าได้ตรัสบอกโมเสสว่าหลังจากที่ฟาโรห์เห็นสิ่งที่พระเจ้าจะทำกับพระองค์ฟาโรห์จะไม่เพียงแต่ยอมปล่อยให้ประชากรฮีบรูไปเท่านั้นแต่จะสั่งให้รีบไปเสียด้วยซ้ำ

THE LORD also REMINDS MOSES of THE COVENANT that had been MADE with ABRAHAM, ISAAC, and JACOB, and how GOD INTENDED TO LIVE UP TO HIS PROMISE HE HAD MADE TO THE FATHERS of THE CHILDREN of ISRAEL! GOD tells MOSES that HIS NAME IS "YAHWEH", and up until this time, HE was known only as THE ALMIGHTY GOD!

พระเจ้ายังได้ย้ำเตือนโมเสสเกี่ยวกับพันธสัญญาที่อับราฮัม, อิสอัค และยาโคบได้มีกับพระเจ้าและว่าพระเจ้าประสงค์ที่จะรักษาพระสัญญาที่ให้ไว้ต่อบิดาของชนชาติอิสราเอล พระเจ้าตรัสบอกโมเสสว่าพระนามของพระองค์คือ “ยาเวห์” และจนถึงเวลานี้พระองค์เป็นที่รู้จักในนามของพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์

NOTE: Although the King James 1611 version translates the NAME YAHWEH to the name JE-HO'-VAH, this NAME CANNOT BE TRANSLATED, FOR IT IS THE NAME of GOD!

หมายเหตุ: พระคัมภีร์ไบเบิ้ลฉบับคิงเจมส์ 1611 ฉบับแปลได้แปลพระนาม ยาเวห์ เป็น เยโอวาห์ แท้จริงแล้วชื่อนี้ไม่สามารถแปลเป็นอย่างอื่นได้เน่ืองจากเป็นพระนามของพระเจ้า

GOD now gives MOSES and Aaron the names of the PERSONS who will be over each of the TWELVE TRIBES of the CHILDREN of ISRAEL once they have departed from Egypt. MOSES, still having doubt says to GOD, who am I that Pharaoh should listen to me? THE LORD IN REPLY SAYS to MOSES, "SEE, I HAVE MADE THEE A GOD to Pharaoh: and Aaron thy brother shall be thy PROPHET”.

พระเจ้าได้บอกโมเสสและอาโรนถึงชื่อของคนที่จะเป็นตัวแทนอิสราเอลทั้ง 12 เผ่าหลังจากพวกเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์ไปแล้ว ถึงตอนนี้โมเสสก็ยังสงสัยอยู่ว่าเขาเป็นใครที่ฟาโรห์จะยอมเชื่อฟัง? พระเจ้าตรัสตอบโมเสสว่า “เห็นไหม เราได้ทำให้เจ้าเป็นตัวแทนของพระเจ้าต่อหน้าฟาโรห์ และอาโรนพี่ชายของเจ้าก็จะเป็นผู้เผยกล่าวคำพยากรณ์”

MOSES, now being EIGHTY years old and Aaron EIGHTY-THREE years old, they make a total of TWELVE CONFRONTATIONS with Pharaoh, on behalf of the CHILDREN of ISRAEL'S CAPTIVITY. Eleven of these confrontations result in Pharaoh's refusal to let the CHILDREN of ISRAEL leave Egypt, because GOD had purposely hardened Pharaoh's heart so Pharaoh, all of Egypt, and the CHILDREN of ISRAEL might see the POWER of GOD! The following is a list of those confrontations and also the MIRACLES resulting from each confrontation.

ขณะนั้นโมเสสมีอายุ 80 ปีและอาโรนอายุ 83 ปี พวกเขาได้เข้าพบฟาโรห์ทั้งหมด 12 ครั้งในฐานะตัวแทนของชนชาติอิสราเอลผู้ตกเป็นทาส การเจรจา 11 ครั้งแรกจบลงด้วยการที่ฟาโรห์ปฎิเสธไม่อนุญาตให้อิสราเอลออกจากอียิปต์เนื่องจากพระเจ้าได้กระทำให้พระทัยฟาโรห์แข็งกระด้างไปเพื่อที่ทั้งฟาโรห์ ชนชาติอียิปต์ และชนชาติอิสราเอลจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ด้านล่างนี้เป็นข้อมูลเกี่ยวกับการเข้าเฝ้าฟาโรห์และสิ่งอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นหลังจากการเจรจาในแต่ละครั้ง

1. The first confrontation with Pharaoh results in the CHILDREN of ISRAEL having their workloads increased, and Pharaoh's refusing to give them the straw needed to make the bricks. No miracle was performed as a result of this confrontation.

การเจรจาครั้งที่ 1 ส่งผลให้ชนชาติอิสราเอลต้องทำงานหนักเพิ่มขึ้น และฟาโรห์ปฎิเสธที่จะจัดหาหญ้าสำหรับทำอิฐ ไม่มีการอัศจรรย์เกิดขึ้นในครั้งนี้

2. At the second confrontation with Pharaoh, Aaron cast down MOSES' ROD and it turns into a serpent. Pharaoh's Magicians then duplicate the miracle.

การเจรจาครั้งที่ 2 อาโรนโยนไม้เท้าของโมเสสแล้วไม้เท้ากลายเป็นงู แล้วนักมายากลของฟาโรห์ก็เลียนแบบการอัศจรรย์นี้เช่นกัน (ในครั้งแรกเมื่อโมเสสและอาโรนเข้าเฝ้าฟาโรห์นั้น พระองค์ตรัสสั่งให้พวกเขาแสดงอัศจรรย์เพื่อพิสูจน์ว่าคำพูดของทั้งสองเป็นจริง พระเจ้าทรงให้อาโรน โยนไม้เท้าลงบนพื้น ไม้เท้านั้นก็กลายเป็นงู ฟาโรห์ก็ทรงเรียกพวกนักปราชญ์ และนักแสดงกลมากระทำเช่นเดียวกันนี้ แต่งูของอาโรนนั้นก็กินงูของนักมายากลเหล่านั้นเสียสิ้น แต่ฟาโรห์ก็ไม่ทรงเอาใจใส่ต่อคำพูดของทั้งสองคน จึงเป็นเหตุให้มีภัยพิบัติเกิดขึ้น)

3. The third confrontation takes place while MOSES stands on the riverbank shouting to Pharaoh as he passes by on the river, and Aaron strikes the river with the ROD of MOSES causing the water to turn to blood. And causing the FIRST PLAGUE to occur Pharaoh's Magicians again duplicate the miracle.

การเจรจาครั้งที่ 3 เกิดขึ้นในขณะที่โมเสสยืนริมฝั่งแม่น้ำตะโกนบอกฟาโรห์ขณะที่พระองค์นั่งบนเรือล่องแม่น้ำผ่านไป แล้วอาโรนจึงได้เอาไม้เท้าตีลงบนน้ำทำให้น้ำนั้นกลายเป็นเลือด ซึ่งถือเป็นภัยพิบัติครั้งแรก และนักมายากลของฟาโรห์ก็ได้พยายามลอกเลียนแบบการอัศจรรย์นี้อีกคร้ัง

(เสริม : ภัยพิบัติจากโลหิต ด้วยฟาโรห์ทรงไม่ใส่ใจต่อการเข้าเฝ้าครั้งแรกของโมเสสและอาโรน พระเจ้าจึงทรงให้เขาทั้งสองเข้าเฝ้าฟาโรห์อีกครั้ง ในเช้าวันรุ่งขึ้นเพื่อสำแดงภัยพิบัติครั้งแรกแก่อียิปต์ เช้ารุ่งขึ้นโมเสสและอาโรนได้ไปเข้าเฝ้าฟาโรห์ ณ ริมแม่น้ำไนล์ โดยอาโรนได้นำไม้เท้าไปด้วย โมเสสจึงได้แจ้งแก่ฟาโรห์ให้ปล่อยชนชาติอิสราเอล หากไม่เช่นนั้น พระเจ้าจะทรงทำให้แม่น้ำลำคลองและบึงต่างๆกลายเป็นโลหิต ปลาในน้ำจะตายและชาวอียิปต์จะดื่มน้ำจากแม่น้ำไนล์ไม่ได้ แต่ฟาโรห์ไม่ได้สนพระทัยต่อคำพูดของทั้งสองคน พระเจ้าทรงสั่งให้อาโรน ยกไม้เท้าขึ้นตีน้ำต่อพระพักตร์ของฟาโรห์ และบรรดาข้าราช บริพาร น้ำในแม่น้ำไนล์ก็กลายเป็นโลหิต ปลาในแม่น้ำก็ตายหมดสิ้น และน้ำนั้นก็ดื่มกินไม่ได้ แต่เหล่าบรรดาวิทยากลของอียิปต์ก็สามารถกระทำกลเช่นนั้นได้เช่นกัน ฟาโรห์จึงไม่เชื่อพวกเขาทั้งสอง ดังนั้นชาวอียิปต์จึงต้องขุดบ่อเพื่อหาน้ำดื่ม เนื่องจากน้ำดื่มจากแม่น้ำไนล์นั้นดื่มไม่ได้)

4. The fourth confrontation with Pharaoh results in Aaron stretching forth the ROD of MOSES, causing the 2nd PLAGUE to occur. This plague results in an innumerable amount of frogs that come over all the land and into the houses of all the Egyptians. Pharaoh's Magicians with their enchantments also duplicate this miracle.

การเจรจาครั้งที่ 4 อาโรนถือไม้เท้าของโมเสสเหยียดออกไปข้างหน้า ทำให้เกิดภัยพิบัติครั้งที่ 2 ขึ้น ครั้งนี้มีกบจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนเข้ามายังพื้นดินและที่อยู่อาศัยของชาวอียิปต์ และอีกครั้งที่นักมายากลของฟาโรห์สามารถลอกเลียนแบบกาอัศจรรย์นี้ได้

(เสริม : ภัยพิบัติจากกบ หลังภัยพิบัติแรกผ่านไป 7 วัน พระเจ้าจึงทรงใช้ใหโมเสสและอาโรน ไปเข้าเฝ้าฟาโรห์อีกครั้ง แจ้งแก่องค์ฟาโรห์ให้ปล่อยชาวอิสราเอลไปเสีย มิฉะนั้นพระเจ้าจะทรงให้ฝูงกบในแม่น้ำไนล์ขึ้นมาจนเต็มแผ่นดินอียิปต์ แต่ฟาโรห์ก็มิได้สนใจ พระเจ้าจึงให้อาโรนชูไม้เท้าเหนือแม่น้ำ ฝูงกบก็พากันขึ้นมาจากแม่น้ำไนล์จนเต็มแผ่นดิน แต่เหล่านักแสดงกล ก็สามารถแสดงกลเรียกกบขึ้นมาจากแม่น้ำได้ด้วยเช่นกัน แต่เมื่อฝูงกบอยู่กันเต็มเมือง องค์ฟาโรห์จึงเรียก โมเสสและอาโรนเข้าพบ และให้สัญญาหากทั้งสองทูลต่อพระเจ้าให้ฝูงกบไปเสียจากแผ่นดินอียิปต์ องค์ฟาโรห์จะยอมให้ชาวอิสราเอลออกเดินทางได้ในวันรุ่งขึ้น โมเสสจึงร้องทูลพระเจ้า และฝูงกบก็พากันตายสิ้นทั้งแผ่นดินอียิปต์)

5. The fifth confrontation with Pharaoh resulted in the 3rd PLAGUE put upon Egypt by GOD; Aaron stretched forth the ROD of MOSES and an epidemic of lice came over the whole land of Egypt. Although the Magicians tried to duplicate this miracle, they could not and warned Pharaoh that THE FINGER of GOD had performed this miracle!

การเจรจาครั้งที่ 5 เป็นผลให้เกิดภัยพิบัติครั้งที่ 3 บนแผ่นดินอียิปต์โดยพระเจ้า อาโรนยื่นไม้เท้าของโมเสสเหยียดออกไปข้างหน้า และภัยพิบัติจากริ้น (นำโรคระบาดจากเชื่อโรคปรสิตเล็กๆ) ที่อยู่บนคนและสัตว์ลงมาทั่วดินแดนของอียิปต์ แม้ว่านักมายากลพยายามที่จะลอกเลียนแบบการอัศจรรย์นี้แต่พวกเขาไม่สามารถทำได้ และได้เตือนฟาโรห์ว่าพระหัตถ์ของพระเจ้าได้กระทำการอัศจรรย์นี้

(เสริม : ภัยพิบัติจากริ้น ครั้นเมื่อฝูงกบตายเสียสิ้น ความเดือดร้อนก็บรรเทาไปแล้ว ฟาโรห์จึงทรงไม่ปฏิบัติตามคำสัญญาที่จะให้อิสราเอลออกเดินทางในวันรุ่งขึ้น พระเจ้าจึงให้โมเสสและอาโรนเข้าเฝ้าฟาโรห์และให้อาโรนเอาไม้เท้าตีฝุ่นดินให้กลายเป็นริ้นทั่วประเทศอียิปต์ ครั้งนี้เหล่านักมายากลของฟาโรห์ ไม่สามารถแสดงกลทำให้ฝุ่นกลายเป็นริ้นได้ จึงทูลต่อฟาโรห์ว่า “นี่เป็นกิจการแห่งนิ้วพระหัตถ์พระเจ้า"แต่ฟาโรห์ก็มิได้สนพระทัย)

6. The sixth confrontation occurs when Pharaoh came down to the river and was warned by MOSES to release ISRAEL or suffer the consequences, however, he still refuses to let the people go. This brings about the 4th PLAGUE on Egypt, which is a swarm of flies covering the Land of Egypt, except for the area of Goshen. This is because GOD severs the land of Goshen from Egypt where the HEBREWS live, so only in this area is the PLAGUE and ALL but the LAST PLAGUE, INACTIVE!

การเจรจาครั้งที่ 6 เกิดขึ้นเมื่อฟาโรห์ลงมายังแม่น้ำและถูกโมเสสเตือนว่าจะปล่อยคนอิสราเอลดีๆหรือจะอยากทนทุกข์จากผลที่จะตามมา อย่างไรก็ดีพระองค์ก็ปฎิเสธที่จะปล่อยพวกเขาไป สิ่งนี้จึงนำมาซึ่งภัยพิบัติครั้งที่ 4 คือมีเหลือบฝูงใหญ่ได้บินเข้ามาปกคลุมทั่วประเทศอียิปต์ ยกเว้นพื้นที่โกเชน เนื่องจากเป็นแผ่นดินที่พระเจ้าแยกไว้จากอียิปต์เพื่อให้ชาวฮีบรูอาศัยอยู่ ดังนั้นพื้นที่นี้จึงเป็นที่เดียวที่เท่านั้นที่ไม่เกิดภัยพิบัติยกเว้นภัยพิบัติครั้งสุดท้าย

(เสริม : ภัยพิบ้ติจากเหลือบ วันรุ่งขึ้นพระเจ้าทรงให้โมเสสไปรอพบฟาโรห์ ที่ริมแม่น้ำไนล์และทูลต่อพระองค์ว่า หากไม่ทรงอนุญาตให้อิสราเอลออกไปนมัสการพระเจ้า ณ ถิ่นทุรกันดาร พระเจ้าก็จะทรงบันดาลให้ฝูงเหลือบอยู่เต็มประเทศอียิปต์ ยกเว้นแต่เมืองโกเชนที่ชาวอิสราเอลอาศัยอยู่ จะไม่มีเหลือบเข้าไปเพื่อแสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของอิสราเอล องค์ฟาโรห์ทรงไม่ยอมเช่นเดิม พระเจ้าจึงทรงให้ฝูงเหลือบบินเต็มทั่วเมืองอียิปต์ยกเว้นแต่เมืองโกเชน ฟาโรห์จึงทรงให้เรียกโมเสสและอาโรนมาพบ และรับสั่งให้อิสราเอลถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้าในอียิปต์มิให้ออกไปนอกเมือง แต่โมเสสทูลแย้งว่าการถวายเครื่องบูชาของอิสราเอลต้องฆ่าสัตว์ต้องห้ามของอียิปต์ จึงจำเป็นต้องไปกระทำในถิ่นทุรกันดาร องค์ฟาโรห์จึงว่า "เราจะปล่อยพวกเจ้าไป เพื่อจะได้ถวายสัตวบูชาแด่พระเจ้าของเจ้าในถิ่นทุรกันดาร แต่ว่าพวกเจ้าอย่าไปให้ไกลนัก จงวิงวอนเพื่อเราด้วย" โมเสสจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าให้ฝูงเหลือบไปจากแผ่นดินอียิปต์)

7. The seventh confrontation with Pharaoh brings about the 5th PLAGUE, this PLAGUE is a disease that kills many of the domestic animals in Egypt, but not a one of the CHILDREN of ISRAEL'S animals were lost.

การเจรจาครั้งที่ 7 เป็นเหตุให้เกิดภัยพิบัติครั้งที่ 5 ภัยพิบัตินี้เป็นโรคระบาดที่ฆ่าสัตว์เลี้ยงในบ้านมากมายในอียิปต์ แต่ไม่มีสัตว์แม้แต่หนึ่งตัวซึ่งเป็นสัตว์ของชาวอิสราเอลที่ตาย

(เสริม : ภัยพิบัติที่เกิดกับฝูงสัตว์ เมื่อสิ้นฝูงเหลือบ ฟาโรห์ก็ทรงละเลยต่อสัญญาของพระองค์อีกครั้ง พระเจ้าจึงทรงให้โมเสสเข้าไปทูลต่อฟาโรห์ว่า หากพระองค์ไม่ยอมปล่อยคนของพระเจ้าไปนมัสการพระองค์ พระเจ้าจะทรงกระทำให้ฝูงสัตว์ของอียิปต์ ทั้งม้า ลา อูฐ โค แพะ และแกะ เป็นโรคระบาดร้ายแรง และยกเว้นฝูงสัตว์ของคนอิสราเอลที่จะไม่เป็นโรค โดยกำหนดการโรคระบาดคือวันถัดไป แต่ฟาโรห์ก็มิได้สนพระทัย วันรุ่งขึ้นฝูงสัตว์ของอียิปต์ก็พากันตายหมด เหลือเพียงฝูงสัตว์ของอิสราเอลเท่านั้น แต่ฟาโรห์ก็ยังไม่ทรงปล่อยชาวอิสราเอลออกไป)

8. The eighth confrontation with Pharaoh brings about the 6th PLAGUE, whereby MOSES and Aaron take handfuls of ashes from the brick furnaces and throw the ashes into the air. This results in the boil with blisters of the skin which break out on both the men and to beasts of Egypt.

การเจรจาครั้งที่ 8 เป็นเหตุให้เกิดภัยพิบัติครั้งที่ 6 โดยโมเสสและอาโรนกำขี้เถ้าหนึ่งกำมือจากเตาเผาอิฐและโยนขี้เถ้าไปในอากาศ สิ่งนี้ทำให้เกิดบาดแผลพุพองของผิวหนังเป็นฝีแตกลามไปทั่วทั้งในคนและสัตว์ของอียิปต์

(เสริม : ภัยพิบัติจากฝี พระเจ้าทรงให้โมเสสกำเขม่าจากเตาไฟเต็มฝ่ามือไปเข้าเฝ้าฟาโรห์และเมื่ออยู่ต่อหน้าฟาโรห์ก็ให้ซัดเขม่านั้นออกไป เขม่านั้นก็กลายเป็นฝุ่นกระจายไปทั่วอียิปต์ ทำให้ชาวอียิปต์กลายเป็นฝีแตกลามทั้งตัว รวมไปถึงเหล่านักมายากลของฟาโรห์ก็เป็นฝีทั่วตัวด้วยเช่นกัน แต่องค์ฟาโรห์ก็ไม่ยอมปล่อยอิสราเอลออกไป)

9. The ninth confrontation with Pharaoh results in the 7th PLAGUE which was GREAT HAILSTONES coming down from Heaven that pound Egypt. When the GREAT HAILSTONES hit earth, a fire emits from the HAILSTONE and runs along the ground burning all in its path.

การเจรจาครั้งที่ 9 เป็นผลให้เกิดภัยพิบัติครั้งที่ 7 คือลูกเห็บขนาดใหญ่หล่นลงมาจากสวรรค์กระหน่ำเหนืออียิปต์ เมื่อลูกเห็บตกลงมาถึงพื้นโลกก็เกิดเปลวไฟจากลูกเห็บเหล่านั้นและติดลามไปทั่วพื้นดิน

(เสริม : ภัยพิบัติจากลูกเห็บ พระเจ้าทรงให้โมเสสเข้าเฝ้าฟาโรห์แต่เช้า และทูลต่อพระองค์ว่า หากฟาโรห์ไม่ยินยอมปล่อยชาวอิสราเอลไป วันรุ่งขึ้นพระเจ้าจะให้มีลูกเห็บตกลงทั่วแผ่นดินอียิปต์อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และเตือนให้ผู้คนและสัตว์ทั้งหลายหลบอยู่ในที่กำบัง มิฉะนั้นจะโดนลูกเห็บเสียชีวิต เหล่าข้าราชบริพารส่วนใหญ่ก็เกรงกลัว จึงได้นำฝูงสัตว์หลบในที่กำบัง และเมื่อถึงเวลา พระเจ้าก็ทรงบันดาลให้มีลูกเห็บและฟ้าร้อง ลูกเห็บที่ตกลงในแผ่นดินอียิปต์ครั้งนั้นนับว่าเป็นครั้งใหญ่ที่สุด ทำลายพืชผลของอียิปต์ทั้งแผ่นดิน ยกเว้นแต่ในเมืองโกเชนที่อิสราเอลอาศัยอยู่ ไม่มีลูกเห็บตกเลยฟาโรห์จึงทรงให้คนไปตามโมเสสและอาโรนมา แจ้งว่า "ครั้งนี้เราทำบาปแน่แล้ว พระเจ้าเป็นฝ่ายถูก เราและชนชาติของเราผิด" แต่โมเสสก็ทราบว่าที่ฟาโรห์กล่าวเช่นนั้นมิได้ยำเกรงพระเจ้าจริง แต่เมื่อโมเสสกลับจากการเข้าเฝ้าฟาโรห์ ก็ทูลขอต่อพระเจ้าให้ลูกเห็บหยุดตก ฟาโรห์ก็ยังคงแข็งขืน มิยอมให้อิสราเอลออกจากอียิปต์ไป)

10. The tenth confrontation with Pharaoh results in the 8th PLAGUE, which brings a great swarm of locusts who come and devour the trees and the herbs of the field. These locusts destroy all that survived the GREAT HAILSTONES, thus wiping out Egypt's food supply.

การเจรจาครั้งที่ 10 ส่งผลให้เกิดภัยพิบัติครั้งที่ 8 โดยมีตั๊กแตนฝูงใหญ่เข้ามากัดกินต้นไม้และทุ่งหญ้าสมุนไพรต่างๆ ตั๊กแตนเหล่านี้ทำลายทุกอย่างที่รอดจากลูกเห็บตกครั้งก่อนหน้า ซึ่งเป็นการกวาดล้างแหล่งอาหารของอียิปต์ให้ไม่สามารถสนับสนุนกองทัพได้

(เสริม : ภัยพิบัติจากฝูงตั๊กแตน พระเจ้าก็ทรงให้ โมเสส และอาโรน เข้าเฝ้าฟาโรห์ อีกครั้ง แจ้งว่าครั้งนี้ พระเจ้าจะทรงให้เกิดฝูงตั๊กแตนเข้าทำลายพืชผลที่เหลือรอดจากลูกเห็บเสียสิ้น บรรดาข้าราชบริพารจึงพากันทูลขอให้ฟาโรห์ปล่อยพวกเขาไป ฟาโรห์จึงให้โมเสสและอาโรนนำอิสราเอลไปนมัสการพระเจ้าได้ แต่ให้นำไปได้เฉพาะผู้ชายส่วนผู้หญิงต้องอยู่ในอียิปต์ เมื่อโมเสสกลับจากเข้าเฝ้า พระเจ้าจึงทรงให้มีฝูงตั๊กแตนจำนวนมากเข้าทำลายพืชผลทั่วแผ่นดินอียิปต์ ฟาโรห์จึงให้เรียกโมเสสและอาโรนมาเฝ้า และขอให้ทูลต่อพระเจ้าให้ไล่ฝูงตั๊กแตนไปเสีย โมเสสก็ทูลขอต่อพระเจ้า แต่ฟาโรห์ก็เปลี่ยนพระทัย ไม่ยอมให้อิสราเอลออกไปจากอียิปต์อีก)
11. The eleventh confrontation with Pharaoh results in the 9th PLAGUE, which brings about a total darkness throughout the land of Egypt. Neither the sun nor the moon shine at all in the Land of Egypt for three full days. However the houses in Goshen still had LIGHT.

การเจรจาครั้งที่ 11 เป็นผลให้เกิดภัยพิบัติครั้งที่ 9 คือเกิดความมืดสนิททั่วทั้งแผ่นดินอียิปต์ ไม่มีดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์ส่องแสงเหนือแผ่นดินนั้นเป็นเวลาสามวันเต็ม แต่อย่างไรก็ตามหมู่บ้านในโกเชนยังคงมีความสว่างอยู่

(เสริม : ภัยพิบัติจากความมืด ต่อมาพระเจ้าจึงทรงทำให้ท้องฟ้าเหนือแผ่นดินอียิปต์มืดไป เป็นเวลา 3 วัน ชาวเมืองไม่สามารถไปไหนได้ เพราะมองไม่เห็น ยกเว้นแต่เมืองที่ชาวอิสราเอลอาศัยอยู่ที่มีแสงสว่าง ฟาโรห์จึงให้ตามต้วโมเสสและอาโรนมา แจ้งว่าจะทรงอนุญาตให้นำผู้คนไปนนัสการพระเจ้าได้ทุกคนแต่ไม่ทรงอนุญาตให้นำฝูงสัตว์ไป โมเสสจึงแจ้งว่า "ต้องโปรดประทานให้มีเครื่องสัตวบูชาและเครื่องเผาบูชาติดมือไปด้วย ข้าพระบาทต้องนำฝูงสัตว์ไปด้วยขาดไม่ได้สักกีบเดียว" องค์ฟาโรห์จึงทรงพิโรธ ขับไล่ทั้งสองออกไปและกล่าวว่า "อย่ามาให้เราเห็นหน้าอีกเลย เพราะถ้าเจ้าเห็นหน้าเราวันใดเจ้าจะต้องตายวันนั้น)

12. During Pharaoh's twelfth and final CONFRONTATION by MOSES and Aaron, Pharaoh tells them that if they were to come before him again, he would have them killed. GOD tells MOSES that HE will yet do 0NE MORE THING to Pharaoh and Egypt. GOD then tells MOSES what the people must do to survive THE 10th PLAGUE. This PLAGUE entails the killing of ALL of the firstborn throughout the land of Egypt. All from the Throne of Pharaoh to the least in the kingdom of Egypt . This killing of the firstborn includes even the first born of all the animals.

ในระหว่างการเจรจาครั้งที่ 12 และครั้งสุดท้ายระหว่างฟาโรห์และโมเสสกับอาโรน ฟาโรห์ตรัสบอกพวกเขาว่า ถ้าพวกเขามาให้พระองค์เห็นหน้าอีกพระองค์จะฆ่าเขาสองคนทิ้งเสีย พระเจ้าตรัสบอกโมเสสว่าพระองค์จะกระทำอีกหนึ่งสิ่งต่อฟาโรห์และชาวอียิปต์ แล้วพระเจ้าจึงตรัสบอกโมเสสว่าคนทั้งหลายต้องทำสิ่งใดเพื่อรักษาชีวิตจากภัยพิบัติครั้งที่ 10 นี้ ภัยพิบัติครั้งนี้จะนำความตายมาสู่บุตรหัวปีทั่วแผ่นดินอียิปต์ ทุกอย่างตั้งแต่บัลลังก์ของฟาโรห์ไปจนถึงสิ่งที่เล็กน้อยที่สุดของอียิปต์ก็จะได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติในครั้งนี้ การฆ่าบุตรหัวปีนี้รวมไปถึงบุตรหัวปีของบรรดาสัตว์ทั้งหลายด้วยไม่มีข้อยกเว้นใดๆ

GOD further instructs MOSES to have all the people on the tenth day of the month take from their flocks a male lamb. The LAMB must be without a blemish, (and it can either be of a LAMB of sheep, or of a he goat) and they are to keep the LAMB until the 14th day of the month. Then on the 14th day of the month, Abib (April), they are to kill it. After killing the LAMB, they must strike the LAMB'S BLOOD upon the two side posts and the upper post of the doors that enter into their houses.

พระเจ้ายังได้บอกโมเสสให้ประชาชนทั้งหมดนำแกะตัวผู้จากฝูงสัตว์ของพวกเขามาในวันที่ 10 ของเดือน ลูกแกะจะต้องไม่มีตำหนิ (จะเป็นทั้งลูกแกะหรือลูกแพะก็ได้) และพวกเขาจะต้องนำลูกแกะนี้มาเก็บไว้จนกระทั้งวันที่ 14 ของเดือนเมษายนจึงให้นำมาฆ่า หลังจากฆ่าลูกแกะ/ลูกแพะแล้วพวกเขาจะต้องนำเลือดของมันมาป้ายลงบนขอบประตูทั้งด้านซ้ายและขวาและด้านบนประตูบ้านของพวกเขา

After doing this they are to roast the lamb over a fire and not break any of the lamb's bones, and all of the lamb must be eaten that evening. GOD also tells MOSES that if one family cannot eat the entire lamb, they are to share it with a neighbor, but the LAMB must be completely eaten on that night.

หลังจากทำสิ่งนี้เสร็จแล้วจะต้องนำเนื้อลูกแกะมาย่างเหนือเตาไฟและจะต้องไม่ทำให้กระดูกแตกออกเลย และจะต้องกินเนื้อลูกแกะนั้นให้หมดภายในคืนวันนั้น พระเจ้ายังได้บอกโมเสสว่าหากครอบครัวใดไม่สามารถกินเนื้อได้หมดพวกเขาต้องแจกจ่ายให้แก่เพื่อนบ้าน แต่เนื้อทั้งหมดต้องกินให้หมดภายในคืนนั้นเท่านั้น

Once all the HOUSEHOLDS have been MARKED with the BLOOD of the LAMB then HE, meaning THE HOLY SPIRIT, will pass through the Land of Egypt and kill all the FIRSTBORN residing in the houses where there is no marking with blood on the lintels and door posts. Then, on that very night when HE SHALL PASSOVER, all the people should be dressed, packed up, and ready to leave Egypt. For after this FINAL PLAGUE has occurred, Pharaoh will demand that ISRAEL leave Egypt!

เมื่อบ้านทุกหลังถูกทำเครื่องหมายด้วยเลือดของลูกแกะแล้ว พระองค์ (หมายถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์) ก็จะผ่านเลยไปและมุ่งไปยังแผ่นดินอียิปต์และฆ่าบรรดาบุตรหัวปีทั้งหมดที่อาศัยอยู่ในบ้านเหล่านั้นที่ไม่มีเครื่องหมายของเลือดทาบนวงกบประตู ในคืนนั้นเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จผ่านไป ทุกคนต้องแต่งตัว จัดกระเป๋า เตรียมพร้อมที่จะเดินทางออกจากอียิปต์ เพราะหลังจากภัยพิบัติครั้งสุดท้ายนี้เกิดขึ้นแล้ว ฟาโรห์จะออกคำสั่งให้อิสราเอลย้ายออกไปจากอียิปต์ทันที

NOTE 11 : I have heard many people say that the ANGEL of death is the one who performed the EVENT of the killing of the firstborn in Egypt. However, this was not the act of an ANGEL at all!. THIS ACT of DELIVERANCE WAS DONE BY THE DELIVERER HIMSELF, IXOTE, THE HOLY SPIRIT! It was HE who passed through the land of Egypt that EVENING, and it was HE who killed all the firstborn in Egypt, BOTH MAN AND BEAST and not an ANGEL!

หมายเหตุ 11 : ผมได้ยินหลายคนพูดว่าฑูตสวรรค์แห่งความตาย คือผู้ที่ทำการฆ่าบุตรหัวปีทั้งหลายในอียิปต์ อย่างไรก็ดี สิ่งนั้นไม่ใช่หน้าที่ของฑูตสวรรค์เลย การปลดปล่อยนี้กระทำโดยผู้ช่วยให้รอดพระองค์เอง คือ IXOTE, พระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์คือผู้ที่เสด็จผ่านดินแดนอียิปต์ในคืนนั้น และพระองค์เองคือผู้ที่ได้ฆ่าชีวิตบุตรหัวปีในอียิปต์ ทั้งมนุษย์และสัตว์และไม่ใช่ฑูตสวรรค์

Exodus 12:12 FOR I WILL PASS THROUGH THE LAND OF EGYPT THIS NIGHT, AND WILL SMITE ALL THE FIRSTBORN IN THE LAND OF EGYPT, BOTH MAN AND BEAST; AND AGAINST ALL the gods of EGYPT I WILL EXECUTE JUDGMENT: I AM THE LORD.

อพยพ 12:12 เพราะในคืนวันนั้น เราจะผ่านไปในประเทศอียิปต์ และเราจะประหารลูกหัวปีทั้งหมดในประเทศอียิปต์ ทั้งของมนุษย์และของสัตว์ และเราจะพิพากษาลงโทษพระทั้งปวงของอียิปต์เราคือพระเยโฮวาห์

DELIVERANCE
การปลดปล่อยสู่อิสรภาพ

So on the 14th day of April, being exactly four hundred and thirty years to the day (since their coming into Egypt,) at 4:44 AM in the morning, THE CHILDREN of ISRAEL are free to leave Egypt, BEING DELIVERED by the MIGHTY ARM of GOD!

ดังนั้นในวันที่ 14 ของเดือนเมษายน จนถึงตอนนี้เป็นเวลา 430 ปีแล้ว (ตั้งแต่วันที่พวกเขาเข้าไปยังแผ่นดินอียิปต์) เวลาตี 4:44 น. ลูกหลานของอิสราเอลถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากอียิปต์ ถูกช่วยให้รอดโดยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้า

NOTE: By our calendar this would have been the 15th day of April. However, the HEBREW day both begins and ends at approximately 6:00PM in the evening, which is the time, called EVEN.

หมายเหตุ: หากเทียบกับปฏิทินของพวกเขาแล้วจะตรงกับวันที่ 15 เมษายน อย่างไรก็ดีวันของชาวฮีบรูเริ่มต้นและสิ้นสุดที่เวลาประมาณ 6 โมงเย็น ซึ่งเป็นเวลาที่เรียกว่า ตอนเย็น

Now GOD directs the CHILDREN of ISRAEL (with them being well over one million in number: 600,000 men over 20 years old, plus women, and children under the age of 20) through the wilderness outside of Egypt and towards the Red Sea. HE has them take this route rather than allowing them to take the shorter route through the land of the Philistines. GOD does this purposely knowing that the Philistines, being a warring nation, would not allow them to pass through their land without a fight. GOD does not at this time want to subject the CHILDREN of ISRAEL to war, knowing they have a weakness in FAITH.

บัดนี้พระเจ้าทรงนำลูกหลานของอิสราเอล (ซึ่งมีจำนวนคนมากกว่าหนึ่งล้านคน แบ่งเป็นผู้ชาย 600,000 คนที่อายุมากกว่า 20 ปี และผู้หญิงกับเด็กๆอายุต่ำกว่า 20 ปี) เดินทางผ่านที่รกร้างว่างเปล่าด้านนอกของอียิปต์ตรงไปยังทะเลแดง พระองค์ทรงมีความประสงค์ให้พวกเขาผ่านเส้นทางนี้ แทนที่จะอนุญาตให้เลือกเส้นทางที่ส้ันกว่าซึ่งผ่านแผ่นดินของชาวฟีลิสเตียเพราะพระองค์รู้ว่าชาวฟิลิสเตียชอบทำการรบจะไม่มีทางยอมให้พวกเขาเดินทางผ่านไปโดยไม่มีการสู้รบแน่ๆ เวลานั้นพระเจ้าไม่ประสงค์ให้พวกเขาทำการรบเพราะรู้ว่าพวกเขามีความเชื่อน้อยอยู่

Exodus 13:21 And THE LORD went before them by day in a pillar of a cloud, to lead them the way; and by night in a pillar of FIRE, to give them LIGHT; to go by day and night:

อพยพ 13:21 พระเยโฮวาห์เสด็จนำทางพวกเขาในเวลากลางวันด้วยเสาเมฆ และตอนกลางคืนด้วยเสาเพลิง ให้เขามีแสงสว่างเพื่อจะได้เดินทางได้ทั้งกลางวันและกลางคืน:

Exodus 13:22 HE took not away the pillar of the cloud by day, nor the pillar of FIRE by night, from before the people.

อพยพ 13:22 เสาเมฆในเวลากลางวันและเสาเพลิงในเวลากลางคืน พระองค์มิได้ให้คลาดจากเบื้องหน้าประชากรเลย

Note 12 : The CLOUD that hovered over the CHILDREN of ISRAEL by day and provided them shade; and the PILLAR of FIRE by night, providing them LIGHT and their course of direction; was enacted by the ANGEL RAPHAEL. RAPHAEL is the ANGEL of THE HOLY SPIRIT of GOD who is also called, THE ANGEL OVER FIRE AND WATER!

หมายเหตุ 12: เสาเมฆที่ลอยเหนือลูกหลานของอิสราเอลในเวลากลางวันเพื่อให้ร่มเงาแก่พวกเขา และเสาเพลิงในเวลากลางคืนให้แสงสว่างและทิศทางแก่พวกเขา เกิดขึ้นโดยฑูตสวรรค์ราฟาเอล ราฟาเอลเป็นทูตสวรรค์ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าหรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ฑูตสวรรค์ผู้ซึ่งมีฤทธิ์เหนือไฟและน้ำ

THE LORD tells MOSES to take the people to the edge of the Red Sea and make a camp there. HE also tells MOSES that HE is going to harden Pharaoh's heart ONCE MORE so that Pharaoh will come after the CHILDREN of ISRAEL, and GOD will destroy Pharaoh's army so that Pharaoh will know THAT THE LORD IS GOD!

พระเจ้าตรัสบอกโมเสสให้พาผู้คนไปยังริมทะเลแดงและตั้งแคมป์ที่นั่น พระองค์ยังได้บอกโมเสสอีกว่าพระองค์จะกระทำให้ฟาโรห์ใจแข็งกระด้างอีกครั้งเพื่อที่ฟาโรห์จะตามพวกเขามาและพระเจ้าจะทำลายกองทัพของฟาโรห์เพื่อที่ฟาโรห์จะได้รู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า

When they get to the Red Sea the CHILDREN of ISRAEL see the great Egyptian army and their chariots of war in hot pursuit after them, and immediately fear for their lives. The PILLAR of FIRE (RAPHAEL) moves from before them to their flank and divides the Egyptian army from the CHILDREN of ISRAEL with a PILLAR of FIRE. Then GOD brings forth an east wind, (The ANGEL ASAPH), who parts the Red Sea after MOSES stretches forth his ROD and says, BEHOLD, THE POWER of GOD!

เมื่อพวกเขาไปถึงทะเลแดงบรรดาชาวอิสราเอลก็เห็นกองทัพของอียิปต์พร้อมด้วยรถม้าศึกที่กำลังไล่ตามมาอย่างเอาเป็นเอาตาย ทันไดนั้นพวกเขาก็เกิดความกลัว แล้วเสาเพลิง (ราฟาเอล) ก็เคลื่อนจากด้านหน้าพวกเขาไปขนาบอยู่ด้านข้างแบ่งกั้นอิสราเอลออกจากอียิปต์ แล้วพระเจ้าก็ให้มีลมมาจากทิศตะวันออก (ฑูตสวรรค์อาสาฟ) กระทำให้ทะเลแดงแยกออกจากกันหลังจากที่โมเสสยื่นไม้เท้าของเขาออกไปและร้องทูลว่า “จงมองดู ฤทธิ์เดชของพระเจ้า!”

With the Egyptian army being held at bay by the PILLAR of FIRE, the CHILDREN of ISRAEL cross over the Red Sea. After they have gotten a sufficient distance between them and the pursuing Egyptian army, the PILLAR of FIRE diminishes from before Pharaoh's army. Once this has happened the Egyptians continue to pursue the CHILDREN of ISRAEL on chariots, horseback, and on foot, into the Red Sea, with them riding so hard in pursuit that the wheels start falling off of their chariots in the midst of the sea.

เมื่อกองทัพของอียิปต์ถูกกันไว้อยู่ตรงอ่าวโดยเสาเพลิง ชาวอิสราเอลก็กำลังเดินข้ามทะเลแดง เมื่อเดินไปได้สักระยะหนึ่งเสาเพลิงก็ลดกำลังลงต่อหน้าทหารของฟาโรห์ ทันใดนั้นชาวอียิปต์ก็รีบออกเดินทางไล่ล่าอิสราต่อทันทีทั้งบนรถรบ หลังม้า และเดินเท้าไปยังทะเลแดง พวกเขาเร่งรีบถึงขนาดล้อรถหลุดออกมาระหว่างที่กำลังอยู่กลางทะเล

Once the cast of the CHILDREN of ISRAEL reach the far bank of the Red Sea, MOSES again stretches forth his ROD and the parting of the sea ceases and comes back together as it was. This causes the pursuing Egyptians to get caught up in the Red Sea killing many thousands of them, whose dead bodies eventually wash on to the shore.

เมื่อชาวอิสราเอลถึงอีกฝั่งเรียบร้อยแล้ว โมเสสก็ยื่นไม้เท้าออกไปอีกครั้งและคราวนี้ทะเลที่แหวกออกก็กลับมารวมกันเหมือนเดิม ทำให้ชาวอียิปต์ที่กำลังไล่ล่าอยู่กลางทะเลจมน้ำตายหลายพันคน ศพของพวกเขาถูกซัดมาเกยที่ชายหาด

The Egyptians, even over a course of time never fully recover from the GREAT WRATH of GOD and from the PLAGUES HE bestowed upon them, when HE brought the CHILDREN of ISRAEL out of the land of Egypt.

แม้เวลาจะผ่านมานานแล้ว แต่ชาวอียิปต์ก็ไม่เคยห่างไกลจากพระพิโรธของพระเจ้าเเละจากภัยพิบัติต่างๆที่พระองค์เทลงเหนือพวกเขาเลย ตั้งแต่พระองค์นำลูกหลานอิสราเอลออกจากอียิปต์

At the END TIMES, GOD WILL DO AGAIN TO THE WORLD, AS HE HAD DONE TO PHARAOH AND EGYPT, WHEN HE DELIVERED HIS PEOPLE OUT OF BONDAGE! SO THE WHOLE WORLD AGAIN MAY BEHOLD THE POWER OF GOD!

ในยุคสุดท้าย พระเจ้าจะทำสิ่งนี้กับโลกอีกครั้งเหมือนกับที่พระองค์เคยทำกับฟาโรห์และอียิปต์ หลังจากที่พระองค์ช่วยคนของพระองค์พ้นจากความเป็นทาส แล้วทั่วโลกจะได้เห็นฤทธานุภาพของพระเจ้าอีกครั้ง!

Micah 7:14 Feed thy people with thy ROD, the flock of thine heritage, which dwell solitarily in the wood, in the midst of Carmel: let them feed in Ba'-shan and Gil'-e-ad, as in the days of old.

มีคาห์ 7:14 ขอทรงเลี้ยงดูประชาชนของพระองค์ด้วยคทาของพระองค์คือฝูงประชาชนที่เป็นมรดกของพระองค์ ผู้อาศัยโดดเดี่ยวอยู่ในป่า ในท่ามกลางคารเมล ขอทรงให้เขาทำกินอยู่ในบาชานและกิเลอาดอย่างในโบราณกาล

Micah 7:15 According to the days of thy coming out of the land of Egypt will I shew unto him marvellous things.

มีคาห์ 7:15 ดังในสมัยเมื่อเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์ เราจะสำแดงสิ่งมหัศจรรย์แก่เขา 

Journey to SINAI
การเดินทางไกลไปยังซีนาย

After three days journey in the wilderness without water the CHILDREN of ISRAEL come to a place called Ma' -rah and there they found water. However the water was not drinkable as it contained large amounts of minerals and there were sulfur deposits in it. MOSES PRAYED to GOD for help as the people were complaining about their not having any water to drink. THE LORD shows MOSES a certain TREE and tells him to cut it down and put it into the well of the bitter water.

หากจากเดินทางในถิ่นทุรกันดารได้ 3 วันโดยไม่ได้ดื่มน้ำเลย ชาวอิสราเอลก็มาถึงดินแดนที่เรียกว่า มารา (Ma’-rah) ที่นั่นพวกเขาเจอน้ำ แต่น้ำที่เจอไม่สามารถดื่มได้เพราะว่ามีแร่ธาตุอยู่จำนวนมากและมีสารซัลเฟอร์ผสมอยู่ด้วย โมเสสอธิษฐานกับพระเจ้าขอให้ทรางช่วยประชากรที่กำลังบ่นว่าไม่มีน้ำดื่ม พระเจ้าได้สำแดงแก่โมเสสถึงต้นไม้ต้นหนึ่งและบอกเขาให้ตัดต้นไม้นั้นแล้วให้โยนลงบนบ่อน้ำที่มีรสขมนั้น

Once MOSES did as THE LORD had told him to do, the water immediately became drinkable. MOSES tells the people that they should TRUST in THE LORD and obey HIS COMMANDMENTS. MOSES also says if the people were to be obedient to GOD, THE LORD would provide for them ALL that they NEEDED and would not allow any of the PLAGUES that were brought to bear on Egypt to come upon them.

เมื่อโมเสสทำตามที่พระเจ้าบอกให้เขาทำ น้ำก็สามารถดื่มได้ทันที โมเสสบอกประชาชนว่าพวกเขาควรจะวางใจในพระเจ้าและเชื่อฟังพระบัญญัติของพระองค์ โมเสสยังได้บอกอีกว่าหากพวกเขาเชื่อฟังพระเจ้าพระองค์จะจัดเตรียมทุกอย่างที่จำเป็นให้แก่พวกเขาและจะไม่ให้มีภัยพิบัติเกิดขึ้นกับพวกเขาเหมือนกับที่เกิดกับอียิปต์อีกเลย

After ten days had past, the CHILDREN of ISRAEL then come to a place called E'-lim, which has an oasis with TWELVE WELLS Of WATER and SEVENTY PALM TREES in the midst of it. While one month had passed since they had left Egypt, the CHILDREN of ISRAEL had run out of food and began to complain to MOSES about their hunger. GOD, after hearing the cry of the people, tells MOSES that HE would rain upon them food from HEAVEN, and that they were to gather up only enough of that food for one day. However on the sixth day they could gather enough to eat for the two days so they would not have to violate THE LORD'S SABBATH, by gathering food on the SEVENTH DAY.

หลังจากผ่านไป 10 วัน ลูกหลานอิสราเอลก็เดินทางมาถึงดินแดนที่เรียกว่า “เอลิม” ที่นั่นมีโอเอซิสที่มีบ่อน้ำอยู่ทั้งสิ้น 12 บ่อ และมีต้นปาล์มอยู่ 70 ต้นอยู่ตรงกลาง เมื่อเวลาผ่านไปได้ 1 เดือนตั้งแต่พวกเขาออกจากอียิปต์ ชาวอิสราเอลก็เสบียงหมดแล้วก็เริ่มบ่นกับโมเสสว่าหิว หลังจากพระเจ้าได้ฟังคำร้องทูลของประชาชนก็ได้บอกโมเสสว่าพระองค์จะให้มีอาหารตกลงมาจากสวรรค์ท่ามกลางพวกเขา และพวกเขาจะต้องเก็บอาหารไปกินให้เพียงพอกับแค่ 1 วันเท่านั้น แต่อย่างไรก็ดีในวันที่ 6 พวกเขากลับเก็บอาหารไปเผื่อสำหรับกินได้ 2 วันเพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ต้องฝ่าฝืนวันสะบาโตเรื่องการรวบรวมอาหารในวันที่ 7

THE LORD every morning thereafter, rained MANNA from HEAVEN within the borders of their campsite, and they gathered up the MANNA for their food as THE LORD had said. Those who gathered more than one day's portion of MANNA on any one day other than on the sixth day, found a worm in the MANNA the day after they had gathered it and could not eat it. It was only on the sixth day that they could gather a two days portion of food and the worm in the MANNA was not present on the SEVENTH DAY.

หลังจากนั้นในทุกเช้าพระเจ้าประทานให้มีมานาตกลงมาจากสวรรค์ในบริเวณแคมป์ของพวกเขา และพวกเขาก็เก็บรวบรวมมานาสำหรับกินเป็นอาหารตามที่พระเจ้าได้ตรัสไว้ ใครก็ตามที่เก็บรวบรวมอาหารไว้มากเกินสำหรับ 1 วันนอกเหนือจากในวันที่ 6 มานานั้นจะมีหนอนขึ้นในวันถัดไปและไม่สามารถกินได้ มีเพียงวันที่ 6 เท่านั้นที่พวกเขาจะสามารถเก็บมานาไว้กินสำหรับวันที่ 7 และจะไม่เกิดหนอนในมานาเมื่อเข้าสู่วันที่ 7

After a short period of time with them eating only MANNA, the people again complain to MOSES about not having any meat to eat. THE LORD hearing their complaints tells MOSES, HE will give them the meat they have asked for. On that very evening at EVEN (Sundown) THE LORD did as HE said HE would do. The ground throughout the entire area suddenly became covered with quail as far as the eye could see. Now the people had bread (MANNA) in the morning to eat and quail in the evening.

หลังจากผ่านไปไม่นานที่พวกเขาได้กินแต่มานา ประชากรก็เริ่มบ่นอีกครั้งกับโมเสสว่าพวกเขาไม่มีเนื้อสัตว์กินเลย หลังจากได้ยินเสียงบ่นดังนั้นพระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่าพระองค์จะประทานเนื้อให้ตามที่พวกเขาร้องขอ ในเย็นวันนั้น (เมื่อดวงอาทิตย์ตก) พระเจ้าได้กระทำดังที่พระเจ้าตั้งพระทัยไว้ คือทั่วพื้นดินเต็มไปด้วยนกคุ่มสุดลูกหูลูกตา ทีนี้พวกเขาก็มีทั้งขนมปัง (มานา) ในตอนเช้าและได้กินนกคุ่มในตอนเย็น

Note 13: One must keep in mind that GOD was feeding an entire NATION of people. The population of the HEBREW NATION, ISRAEL, consisted of about one million and five hundred thousand people. Therefor, they required an enormous amount of food and water. The Scriptures indicate the people gorged themselves with the quail. If each person were to eat only a single quail, then one million and five hundred thousand quail would be required for each and every meal. During the entire FORTY YEARS that the CHILDREN of ISRAEL wandered in the wilderness, GOD provided them with the MANNA from HEAVEN to eat every morning. The MANNA from HEAVEN did not cease until The Children of ISRAEL crossed over the River Jordan and entered into THE PROMISED LAND, where there was an abundance of food.

หมายเหตุ 13 : คิดดูว่าพระเจ้าประทานอาหารให้แก่คนทั้งชนชาติ ประชาการของชาวฮีบรู, อิสราเอล ตอนนั้นมีมากถึง 1.5 ล้านคน ดังนั้นพวกเขาจำเป็นต้องมีอาหารและน้ำในปริมาณที่มากพอ พระคำภีร์ได้บอกว่าประชาชนทั้งหลายกินนกคุ่มอย่างตะกละตะกลาม หากแต่ละคนกินนกคุ่มคนละ 1 ตัว ก็จะต้องมีนกคุ่มจำนวน 1.5 ล้านตัวให้กินในทุกมื้อ ตลอดเวลา 40 ปีที่พวกเขาเร่ร่อนไปในถิ่นทุรกันดาร พระเจ้าได้จัดเตรียมมานาจากสวรรค์ให้พวกเขากินทุกเช้า มานามีไม่เคยขาดจนกระทั่งพวกเขาข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าสู่ดินแดนพันธสัญญา ที่ซึ่งมีอาหารอุดมสมบูรณ์

With the CHILDREN of ISRAEL continuing on their journey towards Mount Sinai, in Horeb, the people once again ran out of water. Their complaints to MOSES had now become more like violent demands and they were saying to MOSES and amongst themselves that they would have been better off if they had stayed in Egypt. MOSES, in his frustration with the people cries out to THE LORD for help, and tells HIM that the people haven't any water to drink and they are now becoming violent towards him and Aaron.

เนื่องจากลูกหลานอิสราเอลเดินทางต่อไปยังภูเขาซีนายในโฮเรบ พวกเขาจึงขาดแคลนน้ำอีกครั้ง และก็ได้บ่นกับโมเสสอีกครั้งซึ่งคราวนี้ความต้องการของพวกเขารุนแรงขึ้นและทำให้พูดกับโมเสสและท่ามกลางพวกเขากันเองว่า รู้แบบนี้อยู่ที่อียิปต์ซะก็ดี โมเสสได้ยินก็ผิดหวังมากเขาร้องคร่ำครวญกับพระเจ้าขอความช่วยเหลือ เขาทูลบอกพระองค์ประชาชนไม่มีน้ำดื่มและตอนนี้ก็เริ่มสร้างความรุนแรงต่อเขาและอาโรนมากขึ้นแล้ว

THE LORD tells MOSES to gather up the Elders of the TWELVE Tribes and to stand upon a certain rock once they are assembled. THE LORD further tells MOSES, once HE had gathered the Elders together THE LORD would stand before him, and MOSES was to strike the rock with his ROD. Once MOSES had struck the rock, THE LORD would then bring forth water out of the rock.

พระเจ้าได้บอกโมเสสให้พาผู้อาวุโสทั้ง 12 คนจากทั้ง 12 เผ่าให้ไปยืนรวมตัวกันอยู่บนหินก้อนหนึ่งที่พระองค์บอก พระเจ้าได้บอกโมเสสอีกว่าเมื่อเขารวบรวมผู้อาวุโสทั้งหมดได้แล้วพระเจ้าจะอยู่ต่อหน้าเขา และให้โมเสสเอาไม้เท้าเคาะที่หินนั้น ทันที่ที่เขาทำแบบนั้นพระเจ้าจะให้มีน้ำไหลออกมาจากหิน

With MOSES still being angered at the people for their continual complaining, HE strikes the rock two times in anger and says: Shall we bring forth water out of this rock? After saying these words, water suddenly gushed out of the rock creating a stream the people could drink from. Although MOSES had done as THE LORD so COMMANDED, the way MOSES had behaved himself while striking the rock displeased THE LORD. This displeased GOD because MOSES did not GIVE THE GLORY for the MIRACLE UNTO GOD, but had rather implied that it was HE and Aaron who were going to bring forth the water out of the rock.

แต่เนื่องด้วยโมเสสยังคงโมโหประชาชนไม่หายที่บ่นไม่เลิก เขาจึงเคาะหินนั้นถึง 2 ครั้งด้วยอารมณ์โกรธพร้อมกับพูว่า “จะให้เราเอาน้ำออกจากหินนี้ให้พวกเจ้าดื่มหรือ?” หลังจากที่เขาพูดจบน้ำก็พุ่งขึ้นจากหินกลายเป็นลำธารสำหรับให้ประชาชนทั้งหลายได้ดื่ม แม้ว่าโมเสสจะทำตามที่พระเจ้าได้สั่งแต่พฤติกรรมของเขาที่ทำตอนที่เคาะหินนั้นไม่เป็นที่พอพระเจ้าพระเจ้าเนื่องจากโมเสสไม่ได้ถวายพระเกียรติให้แด่พระเจ้าเนื่องจากการอัศจรรย์ของพระองค์ แต่กลายเป็นเหมือนว่าเขาและอาโรนต่างหากคือผู้ที่ได้ทำให้เกิดน้ำออกมาจากหิน

Psalm 106:32 They angered HIM also at the waters of strife, so that it went ill with MOSES for their sakes:

สดุดี 106:32 ท่านทำให้พระองค์กริ้วที่น้ำแห่งการโต้เถียง เพราะเรื่องของท่านนี้ โมเสส ก็พลอยเสียหายด้วย

Psalm 106:33 Because they provoked HIS SPIRIT, so that HE spake unadvisedly with HIS lips.

สดุดี 106:33 เพราะท่านทำให้จิตใจโมเสสขมขื่น ดังนั้นริมฝีปากของเขาจึงพูดด้วยคำหุนหัน

Note 14 : Later on in THE BIBLE, in the Book of Deuteronomy, GOD tells MOSES just prior to the CHILDREN of ISRAEL'S crossing over the RIVER JORDAN that he could not go with them into the PROMISED LAND. The reason given by THE LORD to MOSES why he could not go into The Promised Land, was because he failed to GLORIFY GOD at the bringing forth of water out of the rock at Mer'-i-bah Ka'-desh (Deuteronomy 32:51-52). With this being the TRUTH, it was not the only reason why MOSES could not enter into The Promised Land. Even if MOSES had GLORIFIED GOD at Mer-i-bah Ka-desh, HE would have still not been allowed to cross over with the CHILDREN of ISRAEL and enter into the PROMISED LAND. The PRIMARY REASON for this was that MOSES was born of THE HOLY SPIRIT, and at the time of the crossing over the RIVER JORDAN HE would have been 120 years old. This means that MOSES could NO LONGER be in possession of THE HOLY SPIRIT due to his reaching the TERM LIMIT in which THE HOLY SPIRIT can dwell with a man!

หมายเหตุ 14 : หลังจากนั้นในพระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติ พระเจ้าได้บอกโมเสสก่อนหน้าที่ลูกหลายอิสราเอลจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนว่าเขาจะไม่สามารถเข้าสู่ดินแดนแห่งพระสัญญาได้ เหตุผลที่พระเจ้าไม่ให้โมเสสเข้าสู่ดินแดนพันธสัญญาก็เนื่องจากการที่เขาไม่ได้ถวายเกียรติพระเจ้าที่ประทานน้ำจากหินให้พวกเขาที่เมรบาห์ คาเดช (ฉธบ 32:51-52) สิ่งนี้เป็นความจริง แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลเดียวที่ว่าทำไมโมเสสจึงไม่สามารถเข้าสู่ดินแดนพระสัญญาได้
แม้โมเสสถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าที่เมรบาห์ คาเดช เขาก็ไม่ได้ข้ามแม่น้ำกับชาวอิสราเอลเพื่อเข้าสู่ดินแดนพันธสัญญาอยู่ดี เหตุผลหลักก็เนื่องจากโมเสสนั้นเกิดจากพระวิญญาณบริสุทธิ์และในเวลาที่พวกเขาข้ามแม่น้ำจอร์แดนนั้นโมเสสมีอายุได้ 120 ปี ซึ่งหมายความว่าโมเสสไม่สามารถอยู่ภายใต้การครอบครองของพระวิญญาณบริสุทธิ์อีกต่อไปแล้วเพราะหมดเวลาที่พระวิญญาบริสุทธิ์จะสามารถสถิตอยู่กับมนุษย์แล้ว

Genesis 6:3 And THE LORD said, MY SPIRIT shall not always strive with man, for that HE also is flesh: yet HIS days shall be an hundred and twenty years.

ปฐมกาล 6:3 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “วิญญาณของเราจะไม่วิงวอนกับมนุษย์ตลอดไป เพราะเขาเป็นแต่เนื้อหนัง อายุของเขาจะเพียงแต่ร้อยยี่สิบปี

Am'a-Ielz goes to war against ISRAEL
คนอามาเลขทำสงครามกับอิสราเอล

Am' -a-lek, a local leader is informed that the CHILDREN of ISRAEL have entered into his land. He then comes down to where The Children of ISRAEL have entered in, to go to war against them and force them back out. MOSES and JOSHUA being informed by GOD that Am-a-Iek is about to attack them, select men from the CHILDREN of ISRAEL to go out and fight against him. During the battle, MOSES strategically places himself upon a hill where them fighting can see him, and when he holds up his ROD where it is visible to the CHILDREN of ISRAEL, they prevail in their battle.

ผู้นำของคนอามาเลขที่ครอบครองดินแดนนั้นได้รับรายงานว่าลูกหลานชาวอิสราเอลได้ข้ามมายังดินแดนของเขา เขาจึงลงมายังที่ซึ่งชาวอิสราเอลได้ข้ามเข้ามาเพื่อทำสงครามกับพวกเขาและเพื่อบังคับให้พวกเขากลับออกไป โมเสสและโยชูวาทราบจากพระเจ้าว่าคนอามาเลขกำลังจะเข้ามาต่อสู้ให้พวกเขาเลือกผู้ชายออกมาจากประชากรเพื่อออกไปทำการสู้รบ ในระหว่างทำการรบ โมเสสได้ไปยืนอยู่บนเนินเขาที่คนที่กำลังรบอยู่สามารถมองเห็นเขาได้ และเมื่อเขาชูไม้เท้าให้ชาวอิสราเอลเห็นก็เป็นการเพิ่มกำลังใจให้ชาวอิสราเอลในการรบชนะ

But when his arms became tired and HE could no longer hold up the ROD where it could be seen, then Am' -a-lek prevailed in the battle. Once Aaron becomes aware of this, then both he and Hur go up onto the hill where MOSES is standing and sit MOSES down on a rock, and both Aaron and Hur hold up MOSES' arms so that the fighting men could see the ROD. The CHILDREN of ISRAEL then defeated Am' -a-lek, and THE LORD after the battle CURSES Am' -a-lek forever, for his coming out against ISRAEL!

แต่เมื่อใดที่เขาเมื่อยแขนหมดแรงไม่สามารถชูไม้เท้าให้ชาวอิสราเอลเห็นได้ ชาวอามาเลขกลับเป็นฝ่ายที่มีกำลังฮึดสู้ในการรบแทน ดังนั้นอาโรนที่เห็นดังนั้นจึงขึ้นไปยังเนินเขาพร้อมกับเฮอร์เพื่อช่วยยกแขนของโมเสสให้ชูขึ้นเพื่อที่ทหารอิสราเอลจะมองเห็นได้ แล้วลูกหลานของอิสราเอลจึงรบชนะชาวอามาเลข และพระเจ้าก็สาปแช่งชนชาติอามาเลขตลอดกาลเหตุเพราะพวกเขาบังอาจมาสู้รบกับอิสราเอล

Once MOSES and the CHILDREN of ISRAEL reach the base of MOUNT SINAI, MOSES' father-in-law Jethro, comes out to meet him, bringing with him Zip-po' -rah and MOSES' two sons, Ger' -shorn and E-li' -e' -zer. After Jethro spends a few days with MOSES and sees how many people there were of The Children of Israel, and how they depended on MOSES for all matters and disputes, Jethro makes the following suggestion to MOSES. Jethro suggests MOSES appoint Captains over various size groups of the people. Some of these Captains should be over tens, some over hundreds, and some over thousands of the people. 

เมื่อโมเสสและคนอิสราเอลมาถึงเนินภูเขาซีนาย เยโธรพ่อตาของโมเสสก็มาหาเขาและได้พาศิปโปราห์และบุตรชายของโมเสสทั้งสองคือเกอร์โชนและเอลีเอเซอร์มาด้วย หลังจากอยู่ได้ 2-3 วันกับโมเสสและได้เห็นว่าลูกหลานอิสราเอลมีจำนวนมากมายและได้เห็นว่าชีวิตของพวกเขาขึ้นอยู่กับโมเสสเมื่อเวลามีเรื่องโต้แย้งกัน เยโธรจึงได้แนะนำโมเสสให้แต่งตั้งผู้นำในกลุ่มต่างๆตามลำดับคือนายสิบ นายร้อย นายพัน นายหมื่น

Jethro suggests by doing this, it would allow MOSES time to take care of the more serious matters by allowing the Captains to resolve most of the trivial matters within their own respective groups. After being told this by Jethro, MOSES confronts THE LORD on Jethro's suggestion and THE LORD says that HE should do as had been suggested.

เยโธรแนะนำว่าเมื่อทำอย่างนี้แล้วจะทำให้โมเสสมีเวลามากขึ้นในการใส่ใจเรื่องที่สำคัญๆและปล่อยให้ผู้นำเหล่านั้นแก้ไขปัญหาที่ธรรมดาที่เกิดขึ้นภายในกลุ่มของพวกเขาเหล่านั้นแทน หลังจากที่ได้ฟังคำแนะนำของเยโธรแล้ว โมเสสก็ได้ถามพระเจ้าเกี่ยวกับคำแนะนำของเยโธรและพระเจ้าได้ตรัสว่าเขาควรจะทำตามที่ได้ถูกแนะนำมานั้น

Now in the third month of journeying since their departure from Egypt, and ISRAEL being camped at the base of Mount Sanai, MOSES then goes up to the FOUNTAIN of GOD (MI. Sinai) to MEET with GOD.
เมื่อเข้าสู่เดือนที่ 3 หลังจากที่ได้เดินทางออกจากอีิยิปต์ อิสราเอลได้ตั้งค่ายอยู่ที่เนินภูเขาซีนาย โมเสสก็ได้ขึ้นไปยังน้ำพุของพระเจ้า (ยอดเขาซีนาย) เพื่อเข้าเฝ้าพระเจ้า

Exodus 19:3 And MOSES went up unto GOD, and THE LORD called unto him out of the mountain. saying, Thus shalt thou say to the house of JACOB, and tell the CHILDREN of ISRAEL; 

อพยพ 19:3 โมเสสขึ้นไปเฝ้าพระเจ้า พระเยโฮวาห์ตรัสจากภูเขานั้นว่า “บอกวงศ์วานยาโคบและชนชาติอิสราเอลดังนี้ว่า

Exodus 19:4 Ye have seen what I did unto the Egyptians, and how I bare you on EAGLES' WINGS, and brought you unto MYSELF. 

อพยพ 19:4 ‘พวกเจ้าได้เห็นกิจการซึ่งเรากระทำกับชาวอียิปต์แล้ว และที่เราเทิดชูเจ้าขึ้น ดุจดังด้วยปีกนกอินทรี เพื่อนำเจ้ามาถึงเรา

Exodus 19:5 Now therefore, if ye will obey MY VOICE indeed, and KEEP MY COVENANT, then ye shall be a peculiar treasure unto ME above ALL PEOPLE: for ALL THE EARTH IS MINE. 

อพยพ 19:5 เหตุฉะนั้นบัดนี้ถ้าเจ้าเชื่อฟังเสียงเรา และรักษาพันธสัญญาของเราไว้ เจ้าจะเป็นทรัพย์อันประเสริฐของเรา ยิ่งกว่าชาติทั้งปวง เพราะแผ่นดินทั้งสิ้นเป็นของเรา

MOSES after HIS meeting with THE LORD, then goes and tells the people what GOD had said to him. Once the people had heard THE WORDS of THE LORD, given by MOSES to them, the people tell MOSES they would do all that GOD should COMMAND them to do. THE LORD tells MOSES that on the third day, the people should be SANCTIFIED, and wash their clothes so that they might be presentable before HIM, and once they had done this, THE LORD would come down to the people.

หลังจากที่โมเสสเข้าเฝ้าพระเจ้า เขาก็กลับลงมาเพื่อจะมาบอกว่าพระเจ้าได้ตรัสสิ่งใดกับเขาบ้าง ทันทีที่ประชาชนได้ยินพระคำพระเจ้าที่มอบผ่านโมเสสพวกเขาก็บอกโมเสสว่าพวกเขาจะทำตามสิ่งที่พระเจ้าบัญชาให้พวกเขาทำ พระเจ้าตรัสบอกโมเสสว่าในวันที่ 3 พวกเขาจะต้องถวายเครื่องบูชาและซักเสื้อผ้าของตนเพื่อที่พวกเขาจะสามารถปรากฎตัวต่อพระพักตร์พระเจ้าได้ และทันทีที่พวกเขาชำระตัวเสร็จแล้วพระเจ้าจะเสด็จมาเยี่ยมเยียนพวกเขา

THE LORD also WARNS MOSES that the people should BEWARE, and that no one should come near to, or even touch the mountain once HE had come down. Neither man nor beast should come near to GOD and if anyone were to violate this warning, they would be put to death. THE LORD also tells MOSES that on the THIRD DAY, THE TRUMPET WILL BE SOUNDED, and when the people hear the TRUMPET, the men should gather themselves together to HEAR THE WORD of THE LORD. THE LORD COMMANDED MOSES that the men should not have any sexual relations with their wives prior to their coming, and should be CLEAN and PRESENTABLE prior to their gathering together to HEAR GOD'S WORD!

พระเจ้ายังได้เตือนโมเสสว่า ประชากรทุกคนจะต้องระมัดระวังห้ามเข้ามาใกล้หรือสัมผัสภูเขาเด็ดขาดเมื่อพระองค์เสด็จมาแล้ว ไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์หากเข้ามาใกล้พระเจ้าทั้งนั้นหากมีผู้ใดฝ่าฝืนคำเตือนนี้พวกเขาจะต้องตาย พระเจ้ายังได้ตรัสกับโมเสสว่าในวันที่ 3 จะได้ยินเสียงแตรและเมื่อประชาชนได้ยินเสียงแตรแล้วให้ผู้ชายทั้งหมดมารวมตัวกันเพื่อที่จะฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า พระเจ้าได้สั่งโมเสสว่าผู้ชายจะต้องห้ามมีเพศสัมพันธ์กับภรรยาของตนก่อนหน้าที่พระองค์จะเสด็จมา และจะต้องสะอาดและรักษาตัวให้เหมาะสมก่อนหน้าที่จะเข้าฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า

On the third day, THE TRUMPET did SOUND just as THE LORD had said it would. The SOUND of THE TRUMPET being HEARD by the people, was ear piercing! After the SOUNDING of the TRUMPET there was a QUAKING of the ground, and there were THUNDERINGS and LIGHTNING unlike anything the world had seen before.

ในวันที่ 3 มีเสียงแตรดังขึ้นดังที่พระองค์ได้เคยบอกไว้ เสียงแตรนั้นมนุษย์จะได้ยินเหมือนมีเสียงกระหึ่มแทนกผ่านเข้าหู หลังจากเสียงแตรดัง พื้นก็เกิดการสั่นสะเทือนแล้วก็เกิดฟ้าร้องและฟ้าผ่า ซึ่งไม่เคยมีเหตุการณ์ใดเช่นนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อน

Then THE LORD DESCEND in the whirlwind of FIRE and SMOKE ascended up from the fire like a FURNACE and the TRUMPET SOUNDED AGAIN! As THE TRUMPET became LOUDER AND LOUDER THE EARTH SHOOK and the people became more and more frightened, and then MOSES SPOKE OUT to THE LORD. THE LORD called MOSES then to the top of the mountain, and when the people LORD as HE SPOKE to MOSES they trembled out of fear, VOICE of GOD!

แล้วพระเจ้าก็เสด็จลงมาท่ามกลางลมหมุนของไฟและควันลักษณะคล้ายไฟจากเตาหลอมโลหะ แล้วเสียงแตรก็ดังขึ้นอีกครั้ง และเมื่อเสียงแตรดังขึ้นเรื่อยๆโลกก็สั่นสะเทือนและประชาชนก็เริ่มหวาดกลัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แล้วโมเสสก็ได้พูดกับพระเจ้า พระเจ้าเรียกโมเสสให้ขึ้นไปยังยอดภูเขาและเมื่อประชากรได้ยินเสียงของพระเจ้าที่ตรัสกับโมเสสพวกเขาก็ตกใจกลัวตัวสั่นด้วยพระสุรเสียงของพระเจ้า 

THE TEN COMMANDMENTS
 พระบัญญัติสิบประการ

Once MOSES had reached the top of the MOUNTAIN, THE LORD then tells MOSES that he should go back down and get Aaron and return back to the top of Sinai. GOD WARNS MOSES that HE should not allow either the Priest or the people to come any closer to HIM than they were. For if they any closer they would be consumed by FIRE for approaching HIS PRESENCE THEN GOD spoke these WORDS, AND HE SPOKE THEM ALOUD, so that all the PEOPLE could HEAR THEM!

เมื่อโมเสสขึ้นไปถึงยอดเขา พระเจ้าได้ตรัสบอกโมเสสว่าเขาควรจะกลับลงไปแล้วพาอาโรนมาด้วย พระเจ้าได้เตือนโมเสสว่าเขาไม่ควรอนุญาตให้ทั้งปุโรหิตและประชากรเข้ามาใกล้พระองค์มากกว่าขอบเขตที่พวกเขาอยู่ เพราะหาเข้ามาใกล้อีกนิดเดียวพวกเขาจะต้องถูกไฟทำลายเนื่องจากเข้ามาใกล้การทรงสถิตย์ของพระเจ้า แล้วพระเจ้าก็ตรัสถ้อยคำเหล่านี้ด้วยเสียงอันดังเพื่อที่ชาวอิสราเอลทั้งหลายจะได้ยิน

Exodus 20:2 I AM THE LORD THY GOD, WHICR BROUGHT THEE OUT OF THE LAND OF EGYPT, OUT OF THE HOUSE OF BONDAGE. 

อพยพ 20:2 “เราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า ผู้ได้นำเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์คือจากเรือนทาส

Exodus 20:3 THOU SHALT HAVE NO OTHER gods BEFORE ME. 

อพยพ 20:3 อย่ามีพระอื่นนอกเหนือจากเรา

Exodus 20:4 THOU SHALT NOT MAKE UNTO THEE ANY GRAVEN IMAGE, OR ANY LIKENESS OF ANYTHING. THAT IS IN HEAVEN ABOVE, OR THAT IS IN THE BENEATH, OR THAT IS IN THE WATER UNDER THE EARTH

อพยพ 20:4 อย่าทำรูปเคารพสลักสำหรับตนเป็นรูปสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งมีอยู่ในฟ้าเบื้องบน หรือซึ่งมีอยู่ที่แผ่นดินเบื้องล่าง หรือซึ่งมีอยู่ในน้ำใต้แผ่นดิน

Exodus 20:5 THOU SHALT NOT BOW DOWN THY THEM, NOR SERVE THEM: FOR I THE LORD THY GOD. AM A JEALOUS GOD, VISITING THE INIQUITY FATHERS UPON THE CHILDREN UNTO THE THIRD FOURTH GENERATION OF THEM THAT HATE ME

อพยพ 20:5 อย่ากราบไหว้หรือปรนนิบัติรูปเหล่านั้น เพราะเราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า เป็นพระเจ้าที่หวงแหน ให้โทษเพราะความชั่วช้าของบิดาตกทอดไปถึงลูกหลานของผู้ที่ชังเราจนถึงสามชั่วสี่ชั่วอายุคน

Exodus 20:6 AND SHEWING MERCY UNTO THOUSANDS OF THEM THAT LOVE ME, AND KEEP MY COMMANDMENTS. 

อพยพ 20:6 แต่แสดงความเมตตาต่อคนที่รักเรา และรักษาบัญญัติของเรา จนถึงพันชั่วอายุคน

Exodus 20:7 THOU SHALT NOT TAKE THE NAME OF THE LORD THY GOD IN VAIN; FOR THE LORD WILL NOT HOLD HIM GUILTLESS THAT TAKETH HIS NAME IN VAIN.

อพยพ 20:7 อย่าออกพระนามพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าอย่างไร้ประโยชน์ เพราะผู้ที่ออกพระนามพระองค์อย่างไร้ประโยชน์นั้น พระเยโฮวาห์จะทรงถือว่าไม่มีโทษก็หามิได้Exodus 20:8 REMEMBER THE 

Exodus 20:8 REMEMBER THE SABBATH DAY, TO KEEP IT HOLY. 

อพยพ 20:8 จงระลึกถึงวันสะบาโต ถือเป็นวันบริสุทธิ์

Exodus 20:9 SIX DAYS SHALT THOU LABOUR, AND DO ALL THY WORK: 

อพยพ 20:9 จงทำการงานทั้งสิ้นของเจ้าหกวัน

Exodus 20:10 BUT THE SEVENTH DAY IS THE SABBATH OF THE LORD THY GOD: IN IT THOU SHALT NOT DO ANY WORK, THOU, NOR THY SON, NOR THY DAUGHTER, SOR THY MANSERVANT, NOR THY MAIDSERVANT, NOR THY CATTLE, NOR THY STRANGER THAT IS WITHIN THY GATES

อพยพ 20:10 แต่วันที่เจ็ดนั้นเป็นวันสะบาโตของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า ในวันนั้นอย่ากระทำการงานใดๆ ไม่ว่าเจ้าเอง หรือบุตรชายบุตรสาวของเจ้า หรือทาสทาสีของเจ้า หรือสัตว์ใช้งานของเจ้าหรือแขกที่อาศัยอยู่ในประตูเมืองของเจ้า

Exodus 20:11 FOR IN SIX DAYS THE LORD MADE HEAVEN AND THE EARTH, THE SEA, AND ALL THAT IN THEM IS, AND RESTED THE SEVENTH DAY: WHEREFORE THE LORD BLESSED THE SABBATH DAY, AND HALLOWED IT.

อพยพ 20:11 เพราะในหกวันพระเยโฮวาห์ทรงสร้างฟ้า และแผ่นดิน ทะเลและสรรพสิ่งซึ่งมีอยู่ในที่เหล่านั้น แต่ในวันที่เจ็ดทรงพัก เพราะฉะนั้นพระเยโฮวาห์ทรงอวยพระพรวันสะบาโต และทรงตั้งวันนั้นไว้เป็นวันบริสุทธิ์ 

Exodus 20:12 HONOR THY FATHER AND THY MOTHER: THAT THY DAYS MAY BE LONG UPON THE LAND WHICH THE LORD THY GOD GIVETH THEE. 

อพยพ 20:12 จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า เพื่ออายุของเจ้าจะได้ยืนนานบนแผ่นดิน ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าประทานให้แก่เจ้า

Exodus 20:13 THOU SHALT NOT KILL. 

อพยพ 20:13 อย่าฆ่าคน

Exodus 20:14 THOU SHALT NOT COMMIT ADULTERY. 

อพยพ 20:14 อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา

Exodus 20:15 THOU SHALT NOT STEAL.

อพยพ 20:15 อย่าลักทรัพย์

Exodus 20:16 THOU SHALT NOT BEAR FALSE WITNESS AGAINST THY NEIGHBOR. 

อพยพ 20:16 อย่าเป็นพยานเท็จใส่ร้ายเพื่อนบ้าน

Exodus 20:17 THOU SHALT NOT COVET THY NEIGHBOR'S HOUSE, THOU SHALT NOT COVET THY NEIGHBOR'S WIFE, NOR HIS MANSERVANT, NOR HIS MAIDSERVANT, NOR HIS OX, NOR HIS ASS, NOR ANY THING THAT IS THY NEIGHBOR'S. 

อพยพ 20:17 อย่าโลภครัวเรือนของเพื่อนบ้าน อย่าโลภภรรยาของเพื่อนบ้าน หรือทาสทาสีของเขา หรือวัว ลาของเขา หรือสิ่งใดๆซึ่งเป็นของของเพื่อนบ้าน

ONCE the people HEARD the WORDS SPOKEN by THE LORD, they were afraid and trembled out of FEAR at THE VOICE of GOD, as the very ground they stood upon shook as HE SPOKE. The people asked MOSES if HE alone could act and speak on their behalf to GOD, because they FEARED HIM. The CHILDREN of ISRAEL from that time forward no longer heard THE VOICE of GOD!

เมื่อประชากรได้ยินถ้อยคำของพระเจ้า พวกเขาก็เกิดความเกรงกลัวและตัวสั่นด้วยความกลัวในพระสุรเสียงของพระเจ้า ลักษณะเหมือนพื้นดินสั่นสะเทือนเมื่อพระองค์ตรัส ประชากรได้ขอร้องโมเสสว่าเขาคนเดียวสามารถเป็นตัวแทนพูดกับพระเจ้าแทนพวกเขาได้หรือไม่เนื่องจากพวกเขาเกรงกลัวพระองค์ แล้วหลังจากนั้นเป็นต้นมาบรรยาลูกหลานอิสราเอลจึงไม่เคยได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าอีกเลย

MOSES remained on the mountain with GOD for forty days and forty nights, and while on the mountain GOD gave MOSES all of HIS PRECEPTS and STATUTES regarding SPIRITUAL and MORAL BEHAVIOR. Then GOD WROTE with HIS FINGER into the first set of STONE TABLETS, HIS TEN COMMANDMENTS.

โมเสสยังคนอยู่บนภูเขากับพระเจ้าต่อเป็นเวลา 40 วัน 40 คืน และขณะที่อยู่บนภูเขานั้นพระเจ้าได้ประทานคำสั่งสอนและพระบัญญัติเกี่ยวกับฝ่ายจิตวิญญาณและการประพฤติปฎิบัติ แล้วพระเจ้าก็เขียนด้วยพระหัตถ์พระองค์ลงในแผ่นศิลาจารึกพระโอวาทของพระองค์ลงในนั้น ซึ่งก็คือ พระบัญญัติสิบประการนั่นเอง

THE LORD also gave MOSES the dimensions and the materials that were to be used in the construction of THE ARK of the COVENANT and all the details for the construction of the TABERNACLE of GOD. GOD also gave MOSES instructions on the PRIESTS' GARMENTS that were to be worn while in HIS PRESENCE, and the RULES and CONDUCT governing the HANDLING of the ARK and the setting up and the taking down of THE TABERNACLE.

พระเจ้ายังได้บอกโมเสสถึงขนาดและวัสดุเพื่อที่จะใช้สร้างหีบพระสัญญา รวมไปถึงรายละเอียดต่างๆในการสร้างพลับพลาของพระเจ้า พระเจ้ายังได้ตรัสบอกโมเสสถึงเครื่องแต่งกายของปุโรหิตว่าจะต้องใส่อย่างไรเมื่อเข้าเฝ้าพระเจ้า รวมถึงกฎและหลักเกณฑ์ในการควบคุมดูแลหีบพระสัญญาของพระเจ้า การสร้างและการถอดพลับพลาของพระเจ้าออกด้วย

When MOSES finally comes down from the mountain after being there for forty days and forty nights, HE finds the people worshipping a golden calf that Aaron had fashioned for them. In OUTRAGE, MOSES throws the stone tablets to the ground, breaking them in pieces. THE LORD tells MOSES that HE is going to kill all the people for breaking HIS LAWS and HE WILL make MOSES a new NATION using different people.

ในตอนท้ายเมื่อโมเสสลงมาจากภูเขาหลังจากที่อยู่ที่นั่นเป็นเวลาทั้งหมด 40 วัน 40 คืน เขาได้พบว่าพระชาชนทั้งหลายนั้นได้นมัสการลูกวัวทองคำที่อาโรนได้ปั้นให้แก่พวกเขา ด้วยความโมโห โมเสสได้โยนแผ่นศิลาไปบนพื้นทำให้แผ่นศิลานั้นแตกออกเป็นเสี่ยงๆ พระเจ้าได้บอกโมเสสว่าพระองค์จะฆ่าพวกเขาทั้งหมดเนื่องจากฝ่าฝืนพระบัญญัติของพระองค์และจะให้โมเสสเป็นชนชาติใหม่ใช้คนกลุ่มใหม่แทน

But MOSES tells THE LORD, if HE kills all of the people, the Egyptians will say that the GOD of ISRAEL brought the CHILDREN of ISRAEL out of Egypt just to kill them! After hearing what MOSES had to say, GOD withholds HIS anger. MOSES, to appease GOD, gathers together the Levites (who are destines to be the Priests and servants for GOD), and directs them to take up their swords and slay all of those (three thousand people) who had taken part in worshipping the golden calf. Afterwards, MOSES goes back to the mountaintop of Sanai and GOD engraves two NEW TABLETS of STONE, CONTAINING THE WORDS of the TEN COMMANDMENTS.

แต่โมเสสได้บอกพระองค์ว่า หากพระองค์ฆ่าพวกเขาหมดชาวอียิปต์จะพูดได้ว่าพระเจ้าของอิสราเอลพาพวกเขาออกมาจากอียิปต์เพียงเพื่อจะฆ่าพวกเขาให้ตาย หลังจากได้ยินสิ่งที่โมเสสพูด พระเจ้าจึงได้ระงับความกริ้วของพระองค์ เพื่อให้พระเจ้าระงับโทสะโมเสสได้พาชาวเลวี (เผ่าที่ถูกกำหนดให้เป็นปุโรหิตและรับใช้พระเจ้า) และได้สั่งพวกเขาให้จับดาบแล้วฆ่าคนเหล่านั้น (3,000 คน) ผู้ซึ่งมีส่วนในการนมัสการลูกวัวทองคำ หลังจากนั้นโมเสสได้กลับไปยังภูเขาซีนายและพระเจ้าได้จารึกพระพระบัญญัติ 10 ประการ ลงบนแผ่นศิลาจำนวน 2 แผ่นให้ใหม่

NOTE 15: The TWO SETS of TABLETS of STONE represent the OLD and the NEW COVENANT. The first COVENANT (the first TABLETS of STONE) was broken due to GOD'S people disobeying THE COMMANDMENTS of THE LORD. Just as MOSES broke the first set of STONE TABLETS when he had found that the people were worshipping the golden calf . THE NEW TABLETS of STONE, (the second set of STONE TABLETS) represent THE NEW COVENANT that was put into effect after the crucifixion and RESURRECTION of JESUS CHRIST.

หมายเหตุ 15: แผ่นศิลาจารึกพระบัญญัติทั้ง 10 ประการนั้นเป็นตัวแทนของพระคำภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมและใหม่ พันธสัญญาแรก (แผ่นศิลาแรก) ถูกทำให้แตกหักไปเนื่องจากความไม่เชื่อฟังพระบัญญัติพระเจ้าของพระชาชน เหมือนกับที่โมเสสได้ทำให้ศิลาแผ่นแรกแตกเมื่อเขาพบว่าประชากรทั้งหลายไปบูชาวัวทองคำ ศิลาแผ่นที่ 2 (แผ่นศิลาที่จารึกใหม่ทั้ง 2 แผ่น) เป็นตัวแทนของพระคำภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากการส้ินพระชนม์และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์

Note 16: If you could see into the THIRD LAYER of the OLD TESTAMENT the PROPHECY given by the events that had taken place at SINAI, then you would see that the PROPHECY PROCLAIMS a breaking of the OLD COVENANT and the making of the NEW COVENANT! This is why GOD’S PEOPLE live in accordance with THE GOSPELS of JESUS CHRIST which is a COVENANT by FAITH and not according to the OLD COVENANT which was a COVENANT governed solely by LAW. However, just as the second set of STONE TABLETS had the SAME WORDS that were WRITTEN on the first set of STONE TABLETS, so do GOD’S LAWS REMAIN, and apply to the NEW COVENANT, as well as the OLD COVENANT. The only difference between the TWO COVENANTS is in the NEW COVENANT, BY FAITH in GOD WILL ALL LAWS BE FULFILLED, JUST AS THEY WERE ORIGINALLY WRITTEN. JESUS CHRIST verifies that GOD’S LAWS still apply in HIS GOSPELS.

หมายเหตุ 16: หากคุณสามารถมองเห็นไปยัง layer ที่ 3 ของพระคำภีร์เดิมจะเห็นว่าคำพยากรณ์ที่ให้ไว้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดที่ภูเขาซีนายนี้ จริงๆแล้วจะเห็นว่าคำพยากรณ์กล่าวถึงการแตกหักของพันธสัญญาเดิมและการสร้างขึ้นของพันธสัญญาใหม่ นี่เองเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมคนของพระเจ้าจึงใช้ชีวิตตามอย่างพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ซึ่งถือว่าเป็นพันธสัญญาที่เกิดขึ้นด้วยความเชื่อและไม่ได้ตามพันธสัญญาเดิมซึ่งเป็นสัญญาที่ควบคุมโดยกฎบัญญัติเท่านั้น อย่างไรก็ตาม แผ่นศิลาชุดที่สองนี้มีถ้อยคำที่จารึกเหมือนกันกับที่จารึกไว้ในแผ่นศิลาแผ่นแรกทุกประการ ดังนั้นพระบัญญัติของพระเจ้าจึงยังคงอยู่ และมีผลต่อเนื่องกับพันธสัญญาใหม่เช่นเดียวกับพันธสัญญาเดิมด้วย สิ่งเดียวที่แตกต่างระหว่างพันธสัญญาทั้งสองนั้นอยู่ในพันธสัญญาใหม่ ก็คือด้วยความเชื่อพระบัญญัติทุกข้อจึงจะเป็นจริง เหมือนกับที่ได้ถูกเขียนไว้แล้ว พระเยซูคริสต์ได้ยืนยันแล้วว่าพระบัญญัติของพระเจ้ายังคงมีผลใช้อยู่ดังที่เขียนไว้ในพระกิตติคุณ

Matthew 5:17 THINK NOT THAT I AM COME TO DESTROY THE LAW, OR THE PROPHETS: I AM NOT COME TO DESTROY, BUT TO FULFIL.

มัทธิว 5:17 อย่าคิดว่าเรามาเพื่อจะทำลายพระราชบัญญัติหรือคำของศาสดาพยากรณ์เสีย เรามิได้มาเพื่อจะทำลาย แต่มาเพื่อจะให้สำเร็จ

Matthew 5:18 FOR VERILY I SAY UNTO YOU, TILL HEAVEN AND EARTH PASS, ONE JOT OR ONE TITTLE SHALL IN NO WISE PASS FROM THE LAW, TILL ALL BE FULFILLED.

มัทธิว 5:18 เพราะเราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถึงฟ้าและดินจะล่วงไป แม้อักษรหนึ่งหรือจุดๆ หนึ่งก็จะไม่สูญไปจากพระราชบัญญัติ จนกว่าจะสำเร็จทั้งสิ้น

The Book of Exodus concludes with MOSES having the people build the TABERNACLE of GOD and THE ARK of the COVENANT. They also fashioned the Priests’ Garments and all the articles that were to be used in the TABERNACLE. MOSES had these ARTICLES made in STRICT ACCORDANCE with THE LORD’S SPECIFICATIONS, all of which were given to MOSES on Mount Sinai.

พระธรรมอพยพจบลงด้วยตอนที่โมเสสให้ประชาชนสร้างพลับพลาของพระเจ้าและหีบพระสัญญา พวกเขายังได้ตกแต่งเสื้อคลุมของปุโรหิตและสิ่งอื่นๆที่จะต้องถูกใช้ในพลับพลา โมเสสได้สั่งให้ทำสิ่งต่างๆเหล่านี้อย่างระมัดระวังเพื่อให้ตามตามรายละเอียดที่พระเจ้าได้สั่งไว้เมื่อตอนที่อยู่บนภูเขาซีนาย

THE LORD remained with the Children of ISRAEL both by day and by night throughout their journey in the wilderness, and GOD provided them shade by day and LIGHT by night so the people were ALWAYS aware of GOD’s CONTINUAL PRESENCE!

พระเจ้ายังคงอยู่กับลูกหลานของอิสราเอลทั้งวันและคืนตลอดการเดินทางในถิ่นทุรกันดาร และพระเจ้าได้จัดเตรียมร่มเงาให้พวกเขาในตอนกลางวันและแสงสว่างในเวลากลางคืนเพื่อที่พวกเขาจะได้รู้อยู่เสมอว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับพวกเขาตลอดเวลา

Exodus 40:38 For the CLOUD of THE LORD was upon the TABMERNACLE by day, and FIRE was on it by night, in the SIGHT of ALL the house of ISRAEL, throughout all their JOURNEYS.


อพยพ 40:38 เพราะตลอดทางที่เขายกเดินไปนั้น ในกลางวันเมฆของพระเยโฮวาห์ทางสถิตอยู่เหนือพลับพลา และในตอนกลางคืนมีไฟสถิตอยู่เหนือพลับพลานั้น ประจักษ์แก่ตาของวงศ์วานอิสราเอลทั้งปวง

No comments:

Post a Comment