MYSTERY BABYLON THE GREAT WHORE
Chapter 27 ASLEEP in The EARTH
หลับใหลอยู่ในโลก
Whenever THE LORD makes reference to MY life here on the EARTH, HE refers to it in HEBREWAH, calling it COMAH-ALLEAH. This is pronounced "COMAH-LE' -AH", and is a tagged HEBREWAH WORD, with the word, COMAH meaning SLEEP or ASLEEP, and the word ALLEAH meaning the EARTH or the WORLD in which you live.
ทุกครั้งที่พระเจ้าพูดถึงชีวิตของผมบนโลกนี้ พระองค์จะทรงเรียกในภาษาฮาบูวาห์ว่า COMAH-ALLEAH. ออกเสียงว่า โคมาห์-เลอาห์ คำว่า COMAH โคมาห์หมายถึง นอน หรือนอนหลับอยู่ และคำว่า ALLEAH เลอาห์ หมายถึงโลกนี้ หรือโลกที่ท่านได้กำลังอาศัยอยู่
THE LORD has also reminded ME on several occasions that in the SCRIPTURES describing the taking of EVE out of ADAM; the SCRIPTURES say that GOD put ADAM into a DEEP SLEEP and removed a rib from ADAM, from which GOD made EVE.
พระองค์เจ้าได้ย้ำกับผมหลายครั้งว่าในพระคัมภีร์ได้พูดถึงการสร้างเอวาจากอาดัม พระวจนะบอกว่า พระเจ้าได้ทำให้อาดัมอยู่ในสภาพหลับลึก และได้นำเอกซี่โครงออกมาจากเขา เพื่อสร้างเป็นเอวา
However, the SCRIPTURES never mention the AWAKENING of ADAM after HE had been put into that DEEP SLEEP!
แต่อย่างไรก็ตาม ข้อพระคำภีร์ไม่เคยได้กล่าวถึงการตื่นขึ้นมาของอาดัม หลังจากที่พระองค์ทรงได้ทรงทำให้อาดัมอยู่ในสภาพหลับลึก
Genesis 2:21 And THE LORD GOD caused a DEEP SLEEP to fall upon ADAM, and HE slept: and HE took one of HIS ribs, and closed up the flesh instead thereof;
Genesis 2:22 And the rib, which THE LORD GOD had taken from MAN, made HE a WOMAN, and brought HER unto the MAN.
Genesis 2:23 And ADAM said, This is now bone of MY bones, and flesh of MY flesh: SHE shall be called WOMAN, because SHE was taken out of MAN.
ปฐมกาล 2:21 แล้วพระเยโฮวาห์พระเจ้าทรงกระทำให้อาดัมหลับสนิท และเขาได้หลับสนิท พระองค์จึงทรงชักกระดูกซี่โครงอันหนึ่งของเขาออกมา และทรงกระทำให้เนื้อที่ซี่โครงติดกัน
2:22 กระดูกซี่โครงซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าได้ทรงชักจากชายนั้น พระองค์ทรงสร้างให้เป็นหญิงคนหนึ่ง และทรงนำเธอมาให้ชายนั้น
2:23 อาดัมจึงว่า "บัดนี้ นี่เป็นกระดูกจากกระดูกของเรา และเนื้อจากเนื้อของเรา จะต้องเรียกเธอว่าหญิง เพราะว่าหญิงนี้ออกมาจากชาย
Was ADAM'S AWAKENING implied by the way the SCRIPTURES are WRIITEN, or was it simply overlooked in the WRITING of the SCRIPTURES? If so, this would be the only SCRIPTURE written where something as IMPORTANT as ADAM'S AWAKENING was not clearly defined by the SCRIPTURE itself and could only be explained by an ASSUMPTION.
การตื่นขึ้นจากการหลับลึกของอาดัมสามารถตีความเป็นนัยๆจากพระคัมภีร์เพียงเท่านี้ หรืออาจจะแค่ถูกมองข้ามไปไม่ได้เขียนไว้ในพระคัมภีร์หรือ? หากเป็นอย่างนั้น นี่อาจเป็นครั้งเดียวทีี่มีการเขียนถึงสิ่งที่สำคัญ คือการฟื้นขึ้นของอาดัมก็เป็นได้ เพราะเรื่องนี้ไม่ถูกเขียนอย่างชัดเจนในพระคัมภีร์และถูกพูดถึงโดยการสรุปจากความเข้าใจเอาเอง
The HOLY BIBLE is WRITTEN in such a way as to never leave anything to be ASSUMED, even though at times it may appear to do just that. This was the BEGINNING of LIFE by PROCREATION between the SOUL BEARING MAN and WOMAN; would GOD intentionally leave out the DETAIL of ADAM being AWAKENED after HIS DEEP SLEEP, or was this DETAIL simply overlooked by MOSES when writing the SCRIPTURE?
พระคำภีร์ไบเบิ้ลได้เขียนในลักษณะที่ไม่ทิ้งหลักฐานให้คาดเดาได้เลยแม้ว่าเวลาที่ผ่านมานานแสนนานแล้วก็ตาม นี่เป็นเวลาเริ่มต้นของการทรงสร้างระหว่างผู้ชายที่มีจิตวิญญาณและผู้หญิง พระเจ้าตั้งใจจะข้ามเรื่องของการฟื้นของอาดัมหลังจากถูกทำให้หลับลึกหรือรายละเอียดเรื่องนี้ถูกข้ามไปโดยโมเสสตอนที่เขาเขียนพระธรรมปฐมการกันแน่?
HOLY BIBLE SCRIPTURES, whether they are WRITTEN in the form of STORIES or in the form of PROPHECIES are simply WRITTEN TRUTHS. TRUTHS cannot be written in partiality but must rather be WRITTEN in their ENTIRETY for them to be TRUTHS. Based on this UNDERSTANDING of BIBLE SCRIPTURE, it MUST be UNDERSTOOD that ADAM was NEVER AWAKENED from HIS DEEP SLEEP, for if HE had been AWAKENED the SCRIPTURE would say that HE had. The SCRIPTURE would have said that GOD AWAKENED ADAM from HIS DEEP SLEEP and then brought the WOMAN TO HIM.
พระคำภีร์ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งไม่ว่าจะถูกเขียนขึ้นในรูปแบบของการเล่าเรื่องหรือในรูปแบบของคำพยากรณ์หรือรูปแบบของข้อเท็จจริงก็ตาม “สิ่งที่เป็นความจริง” นั้นไม่อาจถูกเขียนได้แค่บางส่วนแต่ต้องเขียนทั้งหมดเพราะมันคือสิ่งที่เป็นความจริง จากพระคำภีร์ใบเบิ้ลในตอนนี้ เราจะต้องเข้าใจว่าอาดัมไม่เคยถูกปลุกให้ตื่นขึ้นจากการถูกทำให้หลับลึก เนื่องจากหากเขาถูกปลุกให้ตื่นขึ้นพระคำภีร์จะต้องกล่าวถึงไปแล้ว พระคำภีร์จะต้องบอกว่าพระเจ้าได้ปลุกอาดัมจากการหลับใหลนั้นและได้สร้างหญิงขึ้นมาจากเขา
The Story of ADAM and EVE was intentionally WRITTEN in this way to DEMONSTRATE how the SOUL BEARING MAN is BORN SPIRITUALLY ASLEEP in the EARTH, even though HE is physically awake! It is not until the GOD GIVEN SPIRIT of MAN is BAPTIZED in the SPIRIT of GOD, that it becomes AWAKENED and ALIVE in the EARTH. It is only by the AWAKENED SPIRIT that MANKIND can have EYES to SEE and EARS to HEAR!
เรื่องราวของอาดัมและเอวาเจตนาถูกเขียนในลักษณะนี้เพื่อยืนยันว่าชายผู้ประกอบด้วยจิตวิญญาณและมาบังเกิดในฝ่ายวิญญาณนั้นได้หลับใหลไปในโลกนี้แม้ว่าร่างกายฝ่ายวิญญาณของเขาตื่นอยู่ก็ตาม และจะไม่ตื่นจนกว่าเขาจะได้รับบัพติสมาในฝ่ายวิญญาณของพระเจ้า เมื่อนั้นแหละเขาจะฟื้นขึ้นและมีชีวิตในโลกนี้ มนุษย์ที่จิตวิญญาณถูกปลุกให้ฟื้นขึ้นเท่านั้นที่จะมีตาที่มองเห็นและหูที่ได้ยิน
This is called CONVERSION, and it only comes by way of BAPTISM. These next SCRIPTURES were the WORDS given to the PROPHET ISAIAH regarding the Children of Israel being ASLEEP in the EARTH and unable to either SEE or HEAR the WORD of THE LORD.
สิ่งนี้เรียกว่าการเปลี่ยนแปลง และเกิดขึ้นจากการรับบัพติสมาเท่านั้น พระวจนะต่อไปนี้เป็นพระคำที่มอบให้กับอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะ เกี่ยวกับเรื่องของลูกหลานอิสราเอลที่หลับอยู่บนโลกและไม่สามารถมองเห็นหรือได้ยินพระคำของพระเจ้าได้
Isaiah 6:8 Also I heard the VOICE of THE LORD, saying, WHOM SHALL I SEND, AND WHO WILL GO FOR US? Then said I, Here am I; send me.
Isaiah 6:9 And HE said, GO, AND TELL THIS PEOPLE, HEAR YE INDEED, BUT UNDERSTAND NOT; AND SEE YE INDEED, BUT PERCEIVE NOT.
Isaiah 6:10 MAKE THE HEART OF THIS PEOPLE FAT, AND MAKE THEIR EARS HEAVY, AND SHUT THEIR EYES; LEST THEY SEE WITH THEIR EYES, AND HEAR WITH THEIR EARS, AND UNDERSTAND WITH THEIR HEART, AND CONVERT, AND BE HEALED.
อิสยาห์ 6:8 และข้าพเจ้าได้ยินพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า "เราจะใช้ผู้ใดไป และผู้ใดจะไปแทนพวกเรา" แล้วข้าพเจ้าทูลว่า "ข้าพระองค์นี่พระเจ้าข้า ขอทรงใช้ข้าพระองค์ไปเถิด"
6:9 และพระองค์ตรัสว่า "ไปเถอะ และกล่าวแก่ชนชาตินี้ว่า `ฟังแล้วฟังเล่า แต่อย่าเข้าใจ ดูแล้วดูเล่า แต่อย่ามองเห็น'
6:10 จงกระทำให้จิตใจของชนชาตินี้มึนงง และให้หูทั้งหลายของเขาหนัก และปิดตาของเขาทั้งหลายเสีย เกรงว่าเขาจะเห็นด้วยตาของเขา และได้ยินด้วยหูของเขา และเข้าใจด้วยจิตใจของเขา และหันกลับมาได้รับการรักษาให้หาย"
Much like a kitten when it is born, its eyes are not opened for several days, and even though the kitten experiences life prior to the opening of its eyes, it never sees the world in which it lives for what it is, until its eyes are opened. This is the SAME phenomenon that is experienced by the SOUL BEARING PERSON,
คล้ายกับลูกแมวแรกเกิด ตาของมันยังไม่เปิดเป็นเวลาหลายวันและแม้ว่าลูกแมวจะมีชีวิตอยู่ก่อนที่ตาของมันจะเปิดมันก็ไม่สามารถมองเห็นโลกที่มันอยู่ว่าเป็นอย่างไรจนกว่าตาจะเปิดแล้ว ซึ่งคล้ายกันกับมนุษย์ที่มีจิตวิญญาณแต่ยังไม่ถูกเปิดหูและเปิดตา
Whereas their eyes are not OPENED until they have been BAPTIZED in the SPIRIT of GOD. It is the BAPTISM by the LIVING WATERS, the WORD of GOD, in the SPIRIT of GOD, that CLEANSES and refreshes the SPIRITUAL EYES so ONE may clearly SEE the WORLD in which they live.
โดยดวงตาจะถูกเปิดก็ต่อเมื่อพวกเขาได้รับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เป็นการบัพติสมาด้วยน้ำแห่งชีวิต, พระวจนะพระเจ้า, และในพระวิญญาณของพระเจ้า สิ่งนี้เป็นการทำให้ดวงตาฝ่ายวิญญาณสะอาดและมีชีวิตชีวาทำให้ผู้น้ำมองเห็นโลกใบที่เขาอาศัยอยู่ได้อย่างชัดแจ้ง
ADAM had not been BAPTIZED at the TIME GOD made EVE for HIM. Therefore HE had not been AWAKENED, and the WORLD to ADAM at that time was much like a DREAM, and not a REALITY; for HE did not have EARS to HEAR and HIS EYES had not been OPENED! Had ADAM and EVE'S EYES and EARS been opened, they would not have been DECEIVED by the Devil, and SINNED against GOD.
อาดัมยังไม่ได้รับบัพติสมาเมื่อตอนที่พระเจ้าสร้างเอวาออกจากเขา ดังนั้นเขาจึงยังไม่ตื่น และสำหรับอาดัมแล้วโลกนี้เหมือนกับความฝันไม่ใช่ความจริงเพราะว่าเขาไม่มีหูที่จะได้ยินและตาที่จะมองเห็น หากตากับหูของทั้งอาดัมและเอวาถูกเปิดพวกเขาคงไม่ถูกมารล่อลวงให้ทำบาปต่อพระเจ้า
Man's PURPOSE on the EARTH is first and foremost to SEE and KNOW the difference between GOOD and evil, and to turn towards the GOOD and away from evil. If a Man is born SPIRITUALLY BLIND, HE can SEE neither GOOD nor evil and must rely on others to teach HIM what is GOOD and what is evil.
จุดประสงค์ดั้งเดิมของมนุษย์บนโลกนี้คือการที่จะได้เห็นและรู้ถึงความแตกต่างระหว่างพระเจ้าและมารซาตาน และหันสู่ความดีห่างไกลจากความชั่วร้าย หากมนุษย์เกิดขึ้นในสภาพที่ฝ่ายวิญญาณยังบอดอยู่พวกเขาจะไม่สามารถมองเห็นทั้งความดีและความชั่วร้ายได้และต้องพึ่งพาคนอื่นในการสอนว่าสิ่งใดคือดีสิ่งใดคือชั่วร้าย
And, if they that are teaching HIM are in the same predicament as HE, how can they know that what they teach is CORRECT; for the TEACHER is as BLIND as the STUDENT, and they are simply the BLIND leading the BLIND.
และหากว่าคนที่ทำหน้าที่สอนนั้นก็ตกอยู่ในสภาพเช่นเดียวกัน เขาจะมั่นใจได้อย่างไรว่าสิ่งที่กำลังสอนอยู่นั้นถูกต้อง เพราะคนสอนก็ตาบอด นักเรียนก็ตาบอด กลายเป็นคนตาบอดสอนคนตาบอดด้วยกันเอง
GOD put the SOUL BEARING MAN upon the EARTH to experience and SEE both GOOD and evil. NO other man can teach another this, ONE must both experience and CHOOSE between the two for themselves, and the proper choice cannot be made without the ability to SEE for yourself;
พระเจ้าได้มอบมนุษย์ที่มีจิตวิญญาณ (Soul bearing man) มายังโลกนี้เพื่อให้เขาได้เรียนรู้ทั้งความดีและความชั่ว เรื่องแบบนี้ไม่สามารถสอนกันได้ เราต้องเรียนรู้ด้วยตัวเองและตัดสินใจเลือกระหว่างสองอย่างนั้นเอง แต่การที่จะเลือกทางที่ถูกต้องได้นั้นเราต้องสามารถมองเห็นได้ก่อน
for GOOD is somewhat easy to SEE whereas evil hides in DARKNESS and is most difficult to SEE. The ability to DIFFERENTIATE between GOOD and EVIL is a GOD GIVEN TRAIT to the MAN with a SOUL, and only through the EYES of GOD can this TRAIT be EXERCISED, and GOD'S EYES and EARS come only by way of BAPTISM.
ความดีนั้นเป็นสิ่งที่มองเห็นได้ง่ายขณะที่ความชั่วจะซ่อนตัวอยู่ในความมืดยากที่จะมองเห็น ความสามารถในการแยกแยะความแตกต่างระหว่างความดีและความชั่วเป็นความสามารถที่ประเจ้าประทานให้กับมนุษย์ผู้มีจิตวิญญาณ และเราสามารถฝึกฝนลักษณะพิเศษนี้ได้ผ่านทางสายตาจากพระเจ้าเท่านั้น สายตาและหูฝ่ายวิญญาณนั้นได้มาโดยทางการรับบัพติสมาเท่านั้น
If you are asleep and are experiencing a DREAM and not living within a REALITY how can rational decisions be made? In what DREAM have you had the ability to make a decision? Are not ALL decisions in DREAMS made for you?
หากคุณกำลังหลับอยู่และกำลังเผชิญหน้าอยู่กับความฝันและไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับความจริงจะสามารถตัดสินใจอย่างถูกต้องมีเหตุผลได้อย่างไร ความฝันลักษณะไหนกันที่ท่านจะสามารถตัดสินใจได้ การตัดสินใจในความฝันนั้นถูกกำหนดมาเพื่อท่านหรือ?
With you being merely an onlooker experiencing those things without control over what takes place in the DREAM. This lack of CONTROL that is experienced in a DREAM is no different then the LACK of CONTROL you experience in this LIFE prior to BAPTISM;
หากคุณอยู่ในเหตุการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้ซึ่งเกิดขึ้นในฝัน การที่ไม่สามารถควบคุมอะไรได้ขณะที่อยู่ในความฝันก็ไม่ต่างกับชีวิตที่ไม่สามารถควบคุมได้สมัยก่อนที่จะรับบัพติสมา
For without HOLY SPIRIT BAPTISM and HOLY SPIRIT COUNSELING you are merely a SPECTATOR of your life, allowing someone else to make your DECISIONS for you!
เพราะถ้าปราศจากการรับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์และพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นที่ปรึกษา ก็จะเหมือนกับการที่คุณนั่งดูชีวิตของคุณดำเนินไปและยอมให้ผู้อ่ืนตัดสินใจชีวิตแทนตัวคุณเอง
Satan wants to make your DECISIONS for you, and as long as you LIVE in his dream world you haven't any control to do otherwise. Satan wants to keep your ears shut and your eyes closed, and without BAPTISM they will remain CLOSED.
ซาตานอยากตัดสินใจแทนคุณและตราบใดที่คุณอาศัยอยู่ในโลกแห่งความฝันของมัน คุณไม่มีทางทำอะไรได้เลย ซาตานต้องการจะหูและตาของคุณถูกปิดอยู่อย่างนั้น และตราบใดที่คุณยังไม่ได้รับบัพติสมามันก็ยังจะปิดอยู่อย่างนั้นแหละ
SEEING this WORLD through the EYES of GOD
การเห็นโลกนี้ผ่านสายพระเนตรของพระเจ้า
BAPTISM comes only by WAY of JESUS CHRIST, the WORD of GOD, and ONCE you RECEIVE BAPTISM your EYES will be OPENED, and shall remain OPENED SAITH THE LORD. The WORLD to YOU will then appear to be quite different than it was prior to YOUR BAPTISM.
การรับบัพติสมาต้องรับผ่านทางพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นพระวจนะพระเจ้าเท่านั้น และทันที่ที่คุณได้รับบัพติสมาแล้วตาของคุณจะถูกเปิดออก และจะถูกเปิดไปอย่างนั้นตลอดไป พระเจ้าตรัสดังนี้ แล้วโลกที่คุณอยู่ก็จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
Many things that were in YOUR past that were overlooked because they appeared to be trivial, will no longer be trivial, and will TROUBLE YOU, whereas they never had bothered YOU in the past. YOU will start to SEE people in a different LIGHT, and find that their values were not as you had previously perceived them to be.
หลายสิ่งหลายอย่างที่เคยผ่านมาในชีวิตของท่านและถูกมองข้ามไปเนื่องจากคุณเห็นว่าเป็นเรื่องเล้กน้อยนั้นจะไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยอีกต่อไปและมันจะสร้างปัญหาให้กับคุณทั้งที่มันไม่เคยกวนใจคุณมาก่อนในอดีต คุณจะเริ่มเห็นผู้คนที่มีแสงแตกต่างกัน และพบว่าพวกเขามีค่าไม่เท่ากับที่คุณเคยให้ความสำคัญอย่างในอดีตเลย
Many of the people you had previously thought to be good by way of their words and actions, are not good people, but are rather EVIL, and merely HIDE behind what appears to be good words and good deeds.
คนหลายคนที่คุณเคยมองว่าพวกเขาเป็นคนดีผ่านคำพูดหรือการการกระทำแท้จริงไม่ใช่คนดีแต่ส่วนใหญ่มักชั่วร้ายและคนเหล่านี้มักจะซ่อนความชั่วร้ายนั้นไว้ภายใต้คำพูดและการกระทำที่ดูดี
GOD will EXPOSE these people to YOU, and the EVIL within them will be so OBVIOUS that YOU will question yourself as to why YOU had not SEEN this before.
พระเจ้าจะเปิดโปงคนเหล่านี้ต่อท่านทั้งหลาย และสิ่งชั่วร้ายที่อยู่ในพวกเขานั้นจะเป็นที่สังเกตเห็นได้ง่ายมาก จนคุณถึงกับต้องถามตัวเองว่าที่ผ่านมาทำไมไม่สังเกตุเห็นฟระ?
However, YOU must REMEMBER that before, YOU were asleep, with YOUR EYES closed; but now your EYES have been OPENED and YOU can SEE CLEARLY that which YOU could not SEE before!
อย่าลืมว่าก่อนหน้านี้คุณหลับอยู่และตาคุณปิดอยู่ แต่ตอนนี้เปิดแล้วและคุณสามารถเห็นสิ่งต่างได้อย่างชัดแจ้งอย่างที่ไม่เห็นเห็นมาก่อน
GOD then through HOLY SPIRIT GUIDANCE will start removing people from YOUR LIFE, and many of the people removed more than likely will be family members.
และพระเจ้าจะนำคนเหล่านั้นออกจากชีวิตของคุณผ่านการช่วยเหลือจากพระวิญญาณบริสุทธิ์และคนส่วนใหญ่ที่ถูกนำออกไปจากชีวิตคุณนั้นมักเป็นสมาชิกในครอบครัวของคุณ
This is why JESUS so often in the SCRIPTURES makes reference to a person leaving his or her family behind to FOLLOW HIM. HE speaks of this not because it might happen, but rather because it WILL HAPPEN, and wants to prepare you for it!
นี่เป็นเหตุที่ว่าทำไมพระเยซูจึงพูดถึงบ่อยในพระคำภีร์ว่าเราจะต้องทิ้งครอบครัวไว้ข้างหลังเพื่อติดตามพระองค์ พระองค์พูดเช่นนี้ไม่ใช่ว่าสิ่งนี้อาจจะต้องเกิดขึ้น แต่เป็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นเป็นแน่ และพระองค์ต้องการเตรียมเราในเรื่องนี้
Matthew 10:37 HE THAT LOVETH FATHER OR MOTHER MORE THAN ME IS NOT WORTHY OF ME: AND HE THAT LOVETH SON OR DAUGHTER MORE THAN ME IS NOT WORTHY OF ME.
Matthew 10:38 AND HE TAKETH NOT HIS CROSS, AND FOLLOWETH AFTER ME, IS NOT WORTHY OF ME.
Matthew 10:39 HE THAT FINDETH HIS LIFE SHALL LOSE IT: AND HE THAT LOSETH HIS LIFE FOR MY SAKE SHALL FIND IT.
มัทธิว 10:37 ผู้ใดที่รักบิดามารดายิ่งกว่ารักเราก็ไม่สมกับเรา และผู้ใดรักบุตรชายหญิงยิ่งกว่ารักเรา ผู้นั้นก็ไม่สมกับเรา
10:38 และผู้ใดที่ไม่รับเอากางเขนของตนตามเราไป ผู้นั้นก็ไม่สมกับเรา
10:39 ผู้ที่จะเอาชีวิตของตนรอดจะกลับเสียชีวิต แต่ผู้ที่สู้เสียชีวิตของตนเพราะเห็นแก่เราก็จะได้ชีวิตรอด
JESUS warns of the HARD TIMES ahead for them RECEIVING BAPTISM, for they will more than likely be removed from their family ties; because in most cases there will not be more than one or maybe two members of a family RECEIVING BAPTISM.
พระเยซูคริสต์ได้เตือนท่านถึงช่วงเวลาที่ยากลำบากที่จะต้องเจอหลังจากที่พวกเขารับบัพติสมา เนื่องจากพวกเขาดูเหมือนจะถูกครอบครัวตัดขาด เนื่องจากส่วนใหญ่แล้วบางครอบครัวจะมีคนที่ได้รับบัพติสมาไม่เพียงหนึ่งคนแต่มากกว่านั้น
Then, all the other family members whom are not SAVED will be used as a tool by the Devil against the SAVED in an effort to cause the SAVED to turn away from GOD and back to their families.
ทีนี้คนอื่นๆในครอบครัวที่ไม่ได้รับการช่วยให้รอดจะถูกมารใช้สิ่งนี้เป็นเครื่องมือในการต่อต้านผู้ที่ได้รับความรอดและพยายามให้พวกเขาละทิ้งพระเจ้าแล้วกลับมาสู่ครอบครัว
The UNSAVED family members, most often do this by instilling GUILT in the BAPTIZED, for their leaving the family, thus causing them to TURN AWAY from GOD and back to the family!
สมาชิกครอบครัวที่ไม่ได้รับความรอดมักทำแบบนี้คือทำให้รู้สึกผิดว่าการรับบัพติสมาเป็นการละทิ้งครอบครัวและนั่นเป็นเหตุให้คนหันหลังจากพระเจ้ากลับไปหาครอบครัวของเขา
JESUS WARNS that those who turn back to their families will NOT be worthy of HIM, therefore NULLIFYING their BAPTISM. There can be NO TURNING BACK!
พระเยซูคริสต์ได้ตักเตือนบรรดาผู้ที่ได้หันกลับไปสู่ครอบครัวของพวกเขาว่าไม่ควรค่าต่อพระองค์ ดังนั้นการบัพติสมาจึงเป็นโมฆะและไม่สามารถจะเปลี่ยนใจใหม่ได้อีก
However, if the BAPTIZED remain within the GUIDANCE of THE HOLY SPIRIT, and SEE the family members that are to be left behind through the EYES of GOD, they will SEE that there AREN'T any TIES to those family members being LEFT BEHIND.
แต่หากผู้ที่รับบัพติสมายังคงดำเนินชีวิตภายใต้การทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์และมองเห็นสมาชิกในครอบครัวที่ไม่ได้รับความรอดผ่านสายพระเนตรพระเจ้า พวกเขาจะเห็นว่าไม่มีสายสัมพันธ์ใดๆเหลืออยู่กับบรรดาคนในครอบครัวเหล่านั้นที่ต้องถูกละทิ้งไว้อีกต่อไป
For there is only a genetic connection to them, and SPIRITUALLY they bear no RELATIONSHIP to YOU at ALL!
ในทางกายภาพจะมีเพียงยีนส์/สายพันธุกรรมเท่าที่นั้นเหลืออยู่ แต่ในฝ่ายวิญญาณนั้นไม่มีความสัมพันธ์กันแล้ว
CHANGES in Lifestyle
การเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิต
After BAPTISM, GOD will also make significant CHANGES in a person's LIFESTYLE. Many of the things that the BAPTIZED had routinely done prior to their BAPTISM, they will no longer do. I don't like to use MYSELF as an example, because I am not a very GOOD one.
หลังจากที่ได้รับบัพติสมาแล้ว พระเจ้ายังได้ทำให้การดำเนินชีวิตของผู้นั้นเปลี่ยนไปอีกด้วย มีหลายอย่างที่ผู้ที่รับบัพติสมาเคยทำเป็นประจำก่อนหน้านั้นพวกเขาจะเลิกทำมันอีกต่อไป ผมไม่ชอบยกตัวอย่างจากชีวิตผมเท่าไหร่เพราะผมไม่ใช่คนดีอะไรนัก
However in this case I can relate to the CHANGES that took place in MY LIFE after MY AWAKENING, as a RESULT of GOD'S INTERVENTION.
แต่ในกรณีนี้ผมจะอยากจะบอกถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับผมหลังจากที่ได้รับการปลุกให้ตื่นขึ้น จากการที่พระเจ้าเข้ามาแทรกแซงในชีวิตผม
Prior to THE LORD COMING to ME on October 13th 1997, MY life was primarily composed of golf and nightlife, and MY language consisted of foul words being used in every sentence that I spoke.
ก่อนหน้าที่พระเจ้าจะเข้ามาในชีวิตผมในวันที่ 13 ตุลาคม 1997 ชีวิตของผมก่อนหน้านั้นจะมีแต่กอล์ฟและการเที่ยวกลางคืน และคำพูดของผมจะมีแต่คำหยาบคายซึ่งจะใช้ในทุกประโยคที่ผมพูดเลยทีเดียว
Immediately after THE LORD CAME to ME it was as though a toggle switch had been turned off in ME and I could no longer cuss at all; those words just ceased from coming out of MY MOUTH, and even the thought of using foul language gave ME an ill feeling in MY stomach.
ทันใดนั้นหลังจากที่พระเจ้าได้เข้ามาหาผมมันเป็นเหมือนกับการสับสวิทซ์ปิดทันที และผมไม่สามารถสบถได้อีกต่อไป ถ้อยคำหยาบคายเหล่านั้นเหมือนหายไปจากปากผม และหากผมตั้งใจพูดคำเหล่านั้นออกมาผมจะรู้สึกแย่มากที่ท้อง
Whereas cuss words were part of MY regular daily vocabulary, after the morning of the 13th day of October 1997 remember that had slipped up only twice and swore; and both times it was as though someone had stuck a knife in my guts and twisted it after those words came out of MY mouth.
ขณะที่คำหยาบเหล่านั้นเคยเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของผม แต่หลังจากเช้าวันที่ 13 ต.ค. 1997 จำได้ว่าผมเคยหลุดพูดคำสบถออกมาแค่ 2 ครั้งแล้วทั้งสองครั้งผมรู้สึกเหมือนมีใครเอามีดมาแทงลำไส้ผมแล้วก็บิดหลังจากที่ผมพูดคำเหล่านั้นออกมา
Thereafter, became quite CAUTIOUS as to what was to be said, prior to ME saying it! Then over the next few months I lost all interest in playing golf and stopped playing golf altogether by the time six months had elapsed. Golf just did not interest ME at all anymore.
หลังจากนั้นผมก็เริ่มระวังคำพูดมากขึ้น หลังจากนั้นหลายเดือนอยู่ดีๆผมก็เลิกความสนใจในการเล่นกอล์ฟและหยุดเล่นหลังจากผ่านไปได้ 6 เดือน กลอ์ฟไม่สามารถดึงความสนใจผมได้อีกต่อไป
I still enjoyed watching the Pros play golf on television but hadn't any interest in playing golf MYSELF. The same was true for MY interest in the nightlife; I simply lost all interest in it, and much preferred to stay at home and READ the WORD of GOD, rather than hang out and drink with MY long time acquaintances as I had routinely done in the past.
แต่ผมยังคงสนุกกับการดูโปรกอฟล์ในทีวี แต่แค่ไม่คิดที่จะไปเล่นด้วยตัวเอง สิ่งนี้เกิดขึ้นกับความชอบในการเที่ยวกลางคืนของผมเช่นกัน ผมแค่สูญเสียความสนใจในมัน และอยากอยู่บ้านอ่านพระคำภีร์มากกว่าที่จะออกไปเที่ยวและดื่มกับเพื่อนๆอย่างที่เคยทำมาในอดีต
These things were simply taken out of MY LIFE and I did not miss them, nor did I feel as though I was made to give anything up, I simply no longer had any interest in those things, and at times wondered why I had ever been interested in them.
สิ่งเหล่านี้ถูกนำออกไปจากชีวิตของผมและผมไม่เคยคิดถึงมันเลย ไม่แม้แต่เคยคิดว่าผมตั้งใจเลิกสิ่งเหล่านั้นด้วยตัวเอง ผมแค่ไม่มีความสนใจในสิ่งเหล่านั้นเอาดื้อๆ แถมยังสงสัยเสียด้วยซ้ำว่าก่อนหน้านี้ไปชอบทำสิ่งเหล่านั้นทำไม
Once GOD OPENS YOUR EYES, the first thing HE has YOU do is to EXAMINE YOURSELF. YOU will be amazed to find that many of the things that YOU say and do are very WRONG, and whereas those things went on unnoticeably in YOUR LIFE, and seemed to be trivial prior to BAPTISM, after BAPTISM they will no longer be trivial, and will trouble YOU.
เมื่อพระเจ้าปิดตาคุณ สิ่งแรกที่พระองค์จะให้คุณทำคือการตรวจสอบชีวิตของคุณ และคุณจะรู้สึกประหลาดใจเมื่อพบว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตที่คุณพูดหรือทำมาตลอดนั้นไม่ถูกต้อง และยังทำต่อไปโดยที่คุณไม่เคยสังเกตุเลยในชีวิตและดูเหมือนคุณจะมองข้ามมันไปเสียด้วยซ้ำ แต่หลังจากรับบัพติสมาแล้วมันจะไม่ถูกมองข้ามอีกต่อไปและเมื่อนั้นแหละคุณจะงานเข้า
GOD will show YOU ALL of YOUR FAULTS, one by one, and will REMOVE them from YOUR LIFE, and will MAKE YOU into the PERSON HE wants YOU to be; and YOU will find that that PERSON GOD wants YOU to be, is the PERSON you have always wanted to be!
พระเจ้าจะสำแดงสิ่งที่ไม่ถูกต้องของคุณให้เห็นทีละอย่างและจะค่อยๆเอาสิ่งเหล่านั้นออกไปจากชีวิตคุณและทำให้คุณเป็นคนใหม่แบบที่พระองค์ปรารถนาให้เป็น และคุณจะพบว่าคุณแบบที่พระเจ้าอยากให้เป็นนั้นเป็นคนแบบที่คุณปรารถนาอยากจะเป็นมาตลอด
Isaiah 32:3 And the EYES of them that SEE shall not be DIM, and the EARS of them that HEAR shall HEARKEN.
Isaiah 32:4 The HEART also of the rash shall UNDERSTAND KNOWLEDGE, and the TONGUE of the stammerers shall be ready to SPEAK plainly.
อิสยาห์ 32:3 แล้วตาของคนที่เห็นจะมิได้หลับ และหูของคนที่ฟังจะได้ยิน
32:4 จิตใจของคนที่หุนหันจะเข้าใจความรู้ และลิ้นของคนติดอ่างจะพูดฉะฉานอย่างทันควัน
No comments:
Post a Comment