Revealing The Bible's Truth
Chapter 6 The HOLY BIBLE STORY
บทที่ 6 พระคัมภีร์ไบเบิ้ล
The HOLY BIBLE story is told through the Scriptures of the FORTY-FOUR BOOKS of the HOLY BIBLE. All the Epistles (including the Book of Acts) are not inclusive of that STORY and are the words of men rather than the WORD of GOD. However, by the direction of the Church the twenty-two Epistles of the Apostles have been added into the Canon of THE HOLY BIBLE. As we have discussed in prior Chapters of this BOOK, the NUMBER “44″ is representative of the WORDS, GODHEAD, FAITH, ABRAHAM, and Judah, as ALL of these WORDS have a NUMERIC SUM of the NUMBER “44″
พระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้ถูกบอกเล่าผ่านพระธรรมจำนวน 44 เล่มที่บรรจุอยู่ในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ไม่นับรวมจดหมายฝากของอัครฑูต (และพระธรรมกิจการ) เพราะถือว่าเป็นถ้อยคำของมนุษย์ไม่ใช่พระคำจากพระเจ้า แต่ด้วยทิศทางของคริสตจักรทำให้สาวกในยุคแรกๆได้รวมเอาจดหมายฝากทั้ง 22 เล่มเข้ามาอยู่ใน CANON ด้วย ซึ่งตรงกับที่ผมได้เคยพูดไว้ในบทก่อนหน้านี้ว่า ตัวเลข “44” นี้มีความหมายถึง “พระวจนะ”, “พระเจ้า”, “ความเชื่อ”, “อับราฮัม”, และ “ยูดาห์” เนื่องจากคำเหล่านี้ต่างมีค่ารวมกันเท่ากับ “44”
Therefor it should be obvious that by the NUMBERS alone there are only FORTY-FOUR BOOKS that make up THE WORD of GOD. When the Church added the Twenty-two Epistles into the Canon, they then brought that NUMBER of books up from FORTY-FOUR to the NUMBER SIXTY-SIX. The NUMBER 66 represents the WORD, “WOMAN” that the Scriptures WARN about in the 2nd Chapter, verse 20, of the Book of Revelation.
ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่า เพียงแค่ตัวเลข 44 นี้มีความหมายถึง หนังสือพระธรรมจานวน 44 เล่มที่ประกอบกันเป็น “พระวจนะของพระเจ้า” เมื่อคริสตจักร (สมัยโรมัน) ได้เพิ่มจดหมายฝากอีก 22 เล่มเข้าใน CANON ทำให้ตัวเลขเปลี่ยน จาก 44 เป็น 66 ซึ่งตัวเลข 66 นี้มีความหมายถึง “ผู้หญิง” ทั้งที่ในพระคัมภีร์เองก็ได้ “เตือน” เราไว้ถึง 2 ครั้งด้วยกันในพระธรรมวิวรณ์ บทที่ 2 ข้อ 20
The Churches are WARNED about this “WOMAN” and how she proclaims herself to be a Prophetess, and deceives the people by her FALSE teaching. This is also a WARNING to GOD’S PEOPLE to beware of her (the WOMAN) for she has seduced her way into the HOLY Scriptures. The “WOMAN” is the basis of religion, and GOD SAYS THAT THE CHURCH SHOULD BE FOUNDED ON THE TEACHINGS OF JESUS CHRIST
คริสตจักรได้ถูกเตือนเกี่ยวกับ “ผู้หญิง” นี้ เนื่องจากเธอได้ประกาศตัวเองว่าเป็นผู้พยากรณ์และได้ล่อลวงคนให้หลงไปกับคำสอนผิด ซึ่งประชากรของพระเจ้าเองก็ได้ถูกเตือนเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้เช่นกันว่าให้ระวัง “ผู้หญิง” นี้ให้ดีเพราะเธอจะทำการชักจูงล่อลวงไปสู่ทางที่ดูดีเหมือนจะเป็นพระวจนะ (แต่ไม่ใช่) ซึ่ง “ผู้หญิง” ที่พูดถึงนี้ก็คือรากฐานของศาสนา ซึ่งพระเจ้าเองได้ตรัสไว้แล้วว่า คริสตจักรควรจะตั้งอยู่บนรากฐานของคำสอนของพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่บนศาสนา
The basis of THE HOLY BIBLE is established on the NUMBER “44″, If you look at the KEY “NUMBER 44″ WORDS, GODHEAD, FAITH, ABRAHAM, and Judah, you will see that these FOUR WORDS are the FOUNDATION THE HOLY BIBLE is based on. THE WORD of GOD comes by way of the GODHEAD. GOD established HIS NEW COVENANT by FAITH starting FIRST with ABRAHAM and then down through Judah to JESUS CHRIST THE SON of GOD .This the entire BIBLE STORY wrapped up in FOUR WORDS, ALL of which EQUAL the NUMBER 44.
รากฐานของ Holy Bible นั้นถูกตั้งขึ้นบนตัวเลข “44” หากคุณมองที่คำสาคัญของตัวเลข 44 นี้ : พระเจ้า (GODHEAD), ความเชื่อ (FAITH), อับราฮัม (ABRAHAM), และ ยูดาห์ (JUDAH) คุณจะเห็นว่า คำ 4 คำนี้เป็นรากฐานของพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ พระวจนะของพระเจ้ามาจากพระเจ้า (GODHEAD) และพระเจ้าได้สร้างพันธสัญญาใหม่ของพระองค์ผ่านทางความเชื่อ (FAITH) โดยผู้แรกที่เป็นบิดาแห่งความเชื่อนั้นก็คืออับราฮัม (ABRAHAM) และความเชื่อนั้นก็ส่งต่อมายังพระเยซูคริสต์บุตรของพระเจ้าผ่านทางยูดาห์ (JUDAH) พระคัมภีร์ทั้งเล่มนั้นเกี่ยวข้องคำทั้ง 4 คำนี้เป็นอย่างมาก และทั้ง 4 คำนี้ก็มีค่าเท่ากับ “44”
(เสริม มัทธิว 4:4 ฝ่ายพระองค์ตรัสตอบว่า “มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า `มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวหามิได้ แต่บำรุงด้วยพระวจนะทุกคำซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า’
ลูกา 4:4 ฝ่ายพระเยซูตรัสตอบมารว่า “มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า `มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวก็หามิได้ แต่บำรุงด้วยพระวจนะทุกคำของพระเจ้า *** ตำแหน่งมัทธิว 4:4 และ ลูกา 4:4 ได้ถูกตั้งใจวางไว้ คือ ตัวเลข 44 )
The NEW TESTAMENT consists of THE FOUR GOSPELS and the Book of THE REVELATION of JESUS CHRIST ONLY. Any other words that are added beyond the WORDS of JESUS CHRIST are a blasphemy against GOD. When JESUS said that HE had finished the work GOD had sent HIM to do, HE MEANT IT. THEREFOR, with JESUS CHRIST being THE WORD of GOD, HE said all that needed to be SAID in THE FOUR GOSPELS and THE REVELATION of JESUS CHRIST!
พันธสัญญาใหม่ประกอบด้วย พระกิตติคุณทั้ง 4 และพระธรรมวิวรณ์ของพระเยซูเท่านั้น! นอกเหนือจากนั้นทั้งหมดที่ถูกใส่รวมเข้ามาถือเป็นการหมิ่นประมาทพระเจ้า (เสริม : เพราะ Antichrist จะใช้ข้อความในจดหมายฝาก ทำการรับเครื่องหมาย 666) เมื่อพระเยซูกล่าวว่าพระองค์ได้ทำพระราชกิจของพระบิดาที่ทรงใช้พระองค์มาสำเร็จเสร็จแล้ว พระองค์หมายความตามนั้นจริงๆ ดังนั้น โดยพระเยซูผู้ซึ่งเป็น “พระวาทะของพระเจ้า” พระองค์ได้ตรัสสิ่งที่จำเป็นต้องตรัสไว้หมดแล้วในพระกิตติคุณทั้งสี่ และหนังสือวิวรณ์
WE will only cover FORTY of the FORTY-FOUR BOOKS of THE HOLY BIBLE in this chapter that highlight “The BIBLE STORY”, for WE have delicated an entire chapter to the GOSPELS already. WE will FIRST briefly go through the THIRTY-NINE BOOKS of the Old Testament and POINT OUT some of the KEY POINTS of UNDERSTANDING that are necessary to UNDERSTAND the STORY, and then proceed on to The Book of Revelation.
ในบทนี้เราจะทำความเข้าใจครอบคลุมพระธรรมเพียง 40 เล่มจาก 44 เล่ม เพราะในส่วนของพระกิตติคุณทั้ง 4 ผมได้แยกไปพูดในบท “Gospel” เรียบร้อยแล้ว ดังนั้น ผมจะขอเริ่มต้นที่พระธรรมทั้ง 39 เล่มของพระคัมภีร์เดิมโดยเน้นถึงจุดสาคัญหลักๆ ที่น่าสังเกตุเพื่อคุณจะเข้าใจพระคัมภีร์เพิ่มขึ้น แล้วหลังจากนั้นจะข้ามไปพูดถึงพระธรรมวิวรณ์เลย
The BASIS for OLD TESTAMENT
พื้นฐานของพันธสัญญาเดิม
The 39 Books of the Old Testament can be broken clown into specific categories, and here is an overview of them. The HOLY BIBLE begins with the FIVE Books of MOSES that are referred to as THE TORAH, thus meaning the Law for GOD’S PEOPLE. GOD had these FIVE BOOKS WRITTEN to give HIS PEOPLE a basis for OBEYING GOD’S COMMANDMENTS, PRECEPTS and STATUTES along with HIS RULES regarding MORALITY.
พระธรรมทั้ง 39 เล่มของพันธสัญญาเดิมสามารถแบ่งประเภทเป็นหมวดหมู่ต่างๆดังนี้ พระคัมภีร์เริ่มต้นที่หนังสือทั้ง 5 เล่มของโมเสส ซึ่งเรียกกันว่า “โทราห์” ซึ่งหมายถึงบัญญัติสำหรับคนของพระเจ้า พระเจ้าได้ทรงให้มีการเขียนหนังสือทั้ง 5 เล่มนี้ขึ้นมาเพื่อมอบให้แก่ประชากรของพระองค์ ถึงพื้นฐานของการเชื่อฟังพระบัญชาของพระเจ้า ความเข้าใจ และพระบัญญัติของพระองค์ ตลอดจน กฎข้อบังคับที่เกียวกับหลักศีลธรรมจรรยาต่างๆ
The Book of Joshua that follows THE TORAH describes (he CROSSING over of the RIVER JORDAN by the Children of ISRAEL. SPIRITUALLY, the Book of Joshua represents GOD’S PEOPLE crossing over from this world into HEAVEN, which is THE KINGDOM of GOD). The river Jordan SPIRITUALLY represents the WORD of GOD, whose waters are so deep that one must know how to SWIM in order to cross over it.
พระธรรมโยชูวาที่อยู่ถัดมาจากโทราห์ ได้อธิบายถึงการเดินทางข้ามแม่น้ำจอร์แดนของชนชาติลูกหลานอิสราเอล มองในมุมฝ่ายวิญญาณ พระธรรมโยชูวาเปรียบได้กับประชากรของพระเจ้าในการเดินทางข้ามพระวจนะของพระองค์เพื่อเข้าสู่แผ่นดินสวรรค์ ซึ่งก็คือ อาณาจักรของพระเจ้า แม่น้ำจอร์แดนมีความหมายฝ่ายวิญญาณถึง พระวจนะของพระเจ้า ซึ่งน้ำนั้นลึกมากผู้ที่จะข้ามได้นั้นจะต้องเรียนรู้วิธีการว่าย “น้ำ” นั้นให้ได้เสียก่อน
This is why in the OLD TESTAMENT, GOD parted the waters of the River Jordan for The CHILDREN of ISRAEL to ‘cross over, as they did not yet KNOW how to SPIRITUALLY SWIM. Establishing the PROMISED LAND for GOD’S PEOPLE as it is described in the Book of Joshua, represents the battles that one must fight in this world prior to receiving their INHERITANCE and a place in GOD’S KINGDOM.
นี่คือเหตุผลว่าทำไมในพันธสัญญาเดิม พระเจ้าได้ทรงทำการอัศจรรย์แหวกแม่น้ำออก เพื่อให้ประชากรลูกหลานของอิสราเอลสามารถเดินข้ามไปได้ เนื่องจากในเวลานั้น พวกเขายังไม่ได้เรียนรู้ถึงการว่ายข้ามน้ำในฝ่ายวิญญาณ การเกิดขึ้น
ของดินแดนแห่งพระสัญญา สาหรับประชากรของพระเจ้าดังที่กล่าวไว้ในพระธรรมโยชูวา มีความหมายถึงการสู้รบที่เราจะต้องต่อสู้ในโลกนี้ ก่อนที่จะได้รับมรดกและแผ่นดินในอาณาจักรของพระเจ้า
The Book of Judges, which sequentially comes next in THE HOLY BIBLE, represents the establishment of the LEADERSHIP needed to keep GOD’S PEOPLE in ORDER with THE WORD of GOD. Then, the Book of Ruth depicts the STORY of the CHURCH, and it’s MARRIAGE to CHRIST.
พระธรรมเล่มถัดมาคือ ผู้วินิจฉัย เป็นภาพเล็งถึงการสถาปนาความเป็นผู้นำ ซึ่งมีความจำเป็นในการรักษาประชากรของพระเจ้าให้อยู่ในระเบียบโดยยึดตามพระวจนะของพระเจ้า และเล่มถัดมาคือพระธรรมนางรูธก็ได้บรรยายถึงเรื่องราวของคริสตจักรและภาพของการแต่งงานกับพระคริสต์
The Books of First and Second Samuel describes the beginning of the King for GOD’S PEOPLE and shows by the Scripture that the success of a King or a Judge can only come by WAY of them who are OBEDIENT TO THE LORD
พระธรรม 1 และ 2 ซามูเอลกล่าวถึงจุดเริ่มต้นของกษัตริย์ของประชากรของพระเจ้า และพระวจนะในพระธรรมเล่มนี้แสดงให้เห็นว่า ความสำเร็จของกษัตริย์หรือผู้วินิจฉัยนั้นจะเกิดขึ้นได้จากการที่พวกเขาเชื่อฟังพระเจ้าเท่านั้น
Next, the Books of First and Second Kings, and the Books of First and Second Chronicles, outline the lives of the Kings OVERSEEING GOD’s PEOPLE. These Books show both the successes and the failures of those Kings. The Books of Ezra and Nehemiah depict the re-establishment of JERUSALEM after its captivity, and teach one that if FAITH in GOD is kept HOPE will not be denied.
ต่อไป คือพระธรรม 1 และ 2 พงศ์กษัตริย์ และ 1 และ 2 พงศาวดาร ได้พูดถึงชีวิตของกษัตริย์ ที่มีหน้าที่ปกครองดูแลประชากรของพระเจ้า พระธรรมสี่เล่มนี้แสดงให้เห็นทั้งความสำเร็จ และความล้มเหลวของกษัตริย์เหล่านั้น ถัดมาคือพระธรรมเอสราและเนหะมีย์ บรรยายถึง การกลับมาสร้างนครเยรูซาเล็มขึ้นใหม่หลังจากตกเป็นเชลยและสอนว่าหากเรารักษาความเชื่อในพระเจ้าไว้ ความหวังจะไม่มีวันถูกปฏิเสธ
The Story of Esther, which is inserted after the book of Nehemiah, is done so to re-establish that there is HOPE for GOD’S PEOPLE when TIMES appear to be HOPELESS! Through the Story of Job ,in the Book of Job, GOD teaches about the TRUST, and PATIENCE, and OBEDIENCE that GOD’S PEOPLE should demonstrate, regardless of the a circumstances. It also TEACHES by the WORDS of Job, how important it is for one to know THE WORD of GOD for THEMSELVES, so they needn’t depend on others to identify their own faults.
เรื่องราวของเอสเธอร์ ซึ่งอยู่ลำดับถัดมาจากพระธรรมเนหะมีย์ นั้นเพื่อตอกย้ำอีกครั้งว่ายังคงมีความหวังอยู่เสมอสำหรับประชากรของพระเจ้าแม้จะอยู่ในช่วงเวลาที่ดูเหมือนไร้ซึ่งความหวังก็ตาม ตลอดเรื่องราวชีวิตของโยบในพระธรรมโยบนั้น พระเจ้าได้สอนเกี่ยวกับ ความเชื่อใจ และความอดทนรอคอย และความเชื่อฟัง ซึ่งประชากรของพระเจ้าจำต้องถูกทดสอบ โดยไม่ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม นอกจากนี้คำพูดของโยบเอง ก็ยังสอนให้รู้ถึงความสำคัญที่เราจะต้องรู้จักพระวจนะของพระเจ้าส่วนตัว เพื่อที่เราจะไม่จำเป็นต้องอาศัยผู้อื่นในการบอกข้อบกพร่องของเรา
The Book of Psalms consists of PRAYERS, PROMISES, and PROPHECY for GOD’S PEOPLE, with many of those PROMISES about to be FULFILLED. The Books of Proverbs, Ecclesiastes, and the Songs of SOLOMON, demonstrate the WISDOM and LOVING RELATIONSHIP that GOD offers to HIS PEOPLE, when they are WILLING to live in HIS WAY AND OBEY HIS COMMANDMENTS. The Book of Ecclesiastes also outlines the MEANING of life in this WORLD.
พระธรรมสดุดีประกอบด้วย การอธิษฐาน, พระสัญญา, และ คำพยากรณ์ สำหรับประชากรของพระเจ้า และมีพระสัญญามากมายที่จะต้องถูกทำให้เป็นจริงขึ้นมา ต่อมาคือพระธรรมสุภาษิต, ปัญญาจารย์, และบทเพลงซาโลมอน ได้พูดถึงสติปัญญา และความรักความสัมพันธ์ที่พระเจ้ามีให้กับประชากรของพระองค์ เมื่อพวกเขาปรารถนาจะดำเนินชีวิตอยู่ในทางของพระองค์และเชื่อฟังพระบัญชาของพระองค์ พระธรรมปัญญาจารย์ยังได้กล่าวถึงความหมายของชีวิตบนโลกนี้อีกด้วย
Then FINALLY, there are the SEVENTEEN Books by the SIXTEEN writing Prophets: Isaiah, Jeremiah (which includes Lamentations), Ezekiel, Daniel ,Hosea, Joel, Amos, Obadiah, Jonah, Micah, Nahum, Habakkuk, Zephaniah ,Haggai, Zechariah, and Malachi. All of the Books of the WRITING PROPHECY forecast the coming events for the PAST, the PRESENT and the FUTURE for GOD’S PEOPLE!
และสุดท้ายคือพระธรรมทั้ง 17 ฉบับซึ่งถูกเขียนโดยผู้พยากรณ์ทั้งหมด 16 ท่านด้วยกันคือ อิสยาห์ เยรามีย์ (ซึ่งเขียนพระธรรมเพลงคร่ำครวญด้วย) เอเสเคียล ดาเนียล โฮเชยา โยเอล อาโมส โอบาดีย์ โยนาห์ มีคาห์ นาฮูม ฮาบากุก เศฟันยาห์ ฮักกัย เศคาริยาห์ และมาลาคี พระธรรมทั้ง 17 ฉบับของผู้พยากรณ์เหล่านี้คือคำพยากรณ์ถึงเหตุการณ์ที่กาลังจะมาถึง สำหรับอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ของประชากรณ์ของพระเจ้า!
Compiling of the SCRIPTURES
การรวบรวมข้อความหนังสือในพระคัมภีร์
The Priest, Ezra, is the one who had put the majority of the 39 Books of the Testament into their existing order. However, these books are not necessarily chronologically placed within the HOLY BIBLE as to the time in which the events had taken place, or as to when the Books themselves were WRITTEN
เอสราคือผู้ที่ได้จัดเรียงพระธรรมทั้ง 39 เล่มของพระคัมภีร์เดิมเป็นตำแหน่งดังที่เห็นในปัจจุบัน เนื่องจากพระธรรมเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องถูกจัดเรียงตามลำดับเวลาวันเดือนปีที่เหตุการณ์ต่างๆได้เกิดขึ้น หรือตามเวลาที่พระธรรมเล่มเหล่านั้นถูกบันทึก
This Chapter, Titled “The HOLY BIBLE STORY”, merely gives you the insight to the Old Testaments FIRST LAYER, which is that of the PAST HOWEVER WE WILL ALLOW YOU TO SEE THE PAST MORE
CLEARLY BY APPLYING OUR KNOWLEDGE OF THE OTHER TWO LAYERS CONTAINED IN THE OLD TESTAMENT, AS WE DESCRIBE THE EVENTS.
บทนี้มีชื่อว่า “เรื่องราวของพระคัมภีร์ไบเบิล” เพื่อช่วยให้คุณสามารถเข้าใจ ลำดับชั้นที่หนึ่ง ของพระคัมภีร์เดิมได้อย่างถ่องแท้ลึกซึ้งขึ้น ซึ่งหมายถึงเหตุการณ์ “อดีต” ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถเห็นภาพของ “อดีต” ได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้นโดยการประยุกต์ใช้ความรู้นี้ในการศึกษาเรื่องราวต่างๆให้ลึกขึ้นใน ลำดับชั้นที่สองและสาม ซึ่งมีอยู่ในพระคัมภีร์เดิมด้วย
One must READ the Scriptures for themselves to see beyond the PAST and then apply them to the PRESENT. Then look further through the Scriptures into the THIRD LAYER so YOU may SEE how they apply to both YOU, and the world’s FUTURE.
เราจำเป็นต้องอ่านพระคัมภีร์เพื่อตัวเราเองเพื่อที่จะสามารถมองเห็นอดีตและหลังจากนั้นก็เพื่อประยุกต์ให้เข้ากับเหตุการณ์ปัจจุบัน แล้วหลังจากนั้นก็คือการมองก้าวข้ามผ่านพระวจนะไปยัง ลำดับชั้นที่สาม ซึ่งก็คืออนาคตนั่นเอง ซึ่งคุณจะเห็นว่ามันมีผลทั้งกับตัวคุณและอนาคตของโลกนี้ด้วย
One MUST UNDERSTAND that THE HOLY BIBLE applies not only to the entire world, but it also APPLIES to YOU PERSONALLY. This is YOUR MANUAL on LIFE and your BEHAVIOR in this world, and it is your road map for the WAY to the NEXT WORLD!
คุณต้องตระหนักว่า พระคัมภีร์ไม่เพียงแต่พูดถึงโลกเท่านั้น แต่พระคัมภีร์สามารถสื่อสารกับคุณโดยตรง แบบส่วนตัว ตัวต่อตัว นี่แหละที่เรียกว่า คู่มือชีวิตและการประพฤติสาหรับโลกนี้ และมันคือแผนที่เพื่อเข้าสู่โลกหน้า
Many people believe that the OLD TESTAMENT no longer APPLIES. THIS IS NOT THE TRUTH AS IT STILL APPLIES. FURTHERMORE, ONE CANNOT SEPARATE THE OLD TESTAMENT FROM THE NEW TESTAMENT, FOR THE OLD IS AN INTEGRAL PART OF THE NEW. ALL GOD’S LAWS STILL APPLY, THE ONLY DIFFERENCE IS NOW YOU OBEY GOD’S LAWS BY FAITH, WHICH COMES BY THE WAY OF THE HOLY SPIRIT BAPTISM, THROUGH JESUS CHRIST!
หลายคนเชื่อว่าพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมไม่เกี่ยวข้องกับเราแล้ว ซึ่งไม่เป็นความจริง พระคัมภีร์เดิมยังมีผลต่อชีวิตของเราอยู่ มากกว่านั้นเราไม่สามารถแยกพันธสัญญาเดิมออกจากพันธสัญญาใหม่ได้เลย เนื่องพันธสัญญาเดิมนั้นเป็นส่วนเติมเต็มที่ทำให้พันธสัญญาใหม่สมบูรณ์ พระบัญญัติของพระเจ้าทั้งหมดนั้นยังคงมีผลอยู่ สิ่งที่แตกต่างคือ ตอนนี้คุณสามารถเชื่อฟังพระบัญญัติของพระเจ้าได้ผ่านทางความเชื่อ ซึ่งได้มาจากการบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ผ่านทางพระเยซูคริสต์!
No comments:
Post a Comment